อดีต สม.พัทยา เดินหน้าค้านการสรรหาสมาชิกสภาฯ ชุดใหม่ เตรียมร้องศาลปกครอง ระบุอาจขัดเจตนารมณ์กฎหมาย
จากกรณีที่การประชุมสภาเมืองพัทยา มีการยื่นมติถกกันอย่างดุเดือดเรื่องขอรับความเห็นชอบก่อหนี้ผูกพันจ้างเหมาทำ CCTV 3 ปี วงเงิน 200 ล้านบาท โดยฝ่ายสภาจี้ให้ฝ่ายบริหารไปทำการแก้ไขสัญญาหรือ TOR ใหม่ เพื่อให้เกิดความชัดเจนในสัญญา สุดท้ายในที่ประชุมหาข้อสรุปไม่ได้ก่อนประธานใช้อำนาจในการตัดสินให้ไปพิจารณาโครงการใหม่อีกรอบ เป็นเหตุให้มีสมาชิกสภาเมืองพัทยาจำนวน 4 คนได้ยื่นหนังสือลา ออกจากสมาชิกสภาพโดยไม่แจ้งเหตุ ส่งผลให้สมาชิกที่เหลือต้องหมดสมาชิกภาพไปโดยปริยายตามกฎหมาย
อย่างไรก็ตามกรณีดังกล่าวต่อมานายกเมืองพัทยาได้แจ้งเรื่องไปยังกระทรวงมหาดไทย พร้อมส่งเรื่องต่อไปยังกฤษฎีกาให้ตีความกรณีการสรรหาสมาชิกสภาตามคำสั่ง คสช.ที่ 85/2557 เนื่องจากปัจจุบันว่ามีสมาชิกสภาเมืองพัทยาลาออกจากตำแหน่งทำให้สมาชิกที่เหลือหมดสมาชิกสภาพไปโดยปริยาย จนทำให้ไม่สามารถเปิดประชุมสภาเมืองพัทยาเพื่อพิจารณาโครงการหรืองบประมาณต่างๆได้ กระทั่งจังหวัดชลบุรีได้รับหนังสือเกี่ยวกับการหารือเรื่องการดำเนินการตามประกาศ คสช.ฉบับที่ 85/2557 เรื่องการได้มาซึ่งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นเป็นการชั่วคราวแทนตำแหน่งที่ว่างลง โดยระบุว่าได้ส่งเรื่องให้กฤษฎีกาตีความตามขั้นตอนแล้วเพื่อให้สรรหาสมาชิกใหม่จำนวน 12 ราย ตามคำสั่ง คสช.ที่ 85/2547 ในข้อ 1 วรรค 2 กระทั่งจัง หวัดชลบุรีมีหนังสือด่วนที่สุด ที่ ชบ 0023.4/3012 เรื่องของเชิญประชุมเพื่อคัดเลือกกรรรมการสรรหาสมาชิกสภาท้องถิ่นในวันที่ 20 ตุลาคม 2554
ต่อมานายสินไชย วัฒนศาสตร์สาธร สมาชิกสภาเมืองพัทยา ระบุว่าแม้ว่าจะเป็นจำนวนที่เหลือไม่ถึงกึ่งหนึ่งตามกฎหมาย แต่ด้วยยังมีประกาศของ คสช.ที่ 85/2557 ที่ระบุไว้ในข้อท้ายคือข้อ 7,8 และ 10 ที่ระบุว่าแม้สมาชิสภาเมืองพัทยาเหลือไม่ถึงกึ่งหนึ่งก็ให้ดำเนินการไปตามนั้น หรือให้ผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรีเสนอเรื่องยุบสภาไปยังกระทรวงมหาดไทย หรือหากจะให้มีสภาเมืองพัทยาครบทั้งฝ่ายบริหารและนิติบัญญัติก็ต้องมาจากการเลือกตั้งนั้น โดยเป็นตัวแทนจากทั้ง 4 สมาชิกสภาเมืองพัทยาได้ยื่นหนังสือตรงต่อท้องถิ่นจังหวัดชลบุรี โดยมีข้อความระบุว่าสมาชิกสภาพของทั้ง 4 คนยังคงอยู่และขอให้เพิกถอนคำสั่งในการเชิญประชุมคณะกรรมการสรรหาสมาชิกสภาเมืองพัทยาชุดใหม่จำนวน 12 คน ซึ่งมองว่าเป็นการดำเนิน การที่ขัดต่อกฎหมาย
แต่ต่อมาปรากฏว่ามีการดำเนินการตามที่กฤษฎีกาตีความ โดยผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี ในฐานะประ ธานคณะกรรมการสรรหาผู้บริหารท้องถิ่น พร้อมคณะกรรมการ ได้ทำการสรรหาสมาชิกสภาเมืองพัทยาชุดใหม่ 12 คน พร้อมทำการนัดเปิดประชุม และมีการประชุมนัดแรกเพื่อพร้อมพิจารณาให้ความเห็นชอบงบผูกพัน 3 ปีจำนวน 200 ล้านบาทเกี่ยวกับการเช่าเหมาจัดทำระบบกล้องโทรทัศน์วงจรปิดหรือ CCTV ไปแล้วนั้น
ล่าสุดนายสินไชย วัฒนศาสตร์สาธร อดีต สม.พัทยา ระบุว่าเมื่อเกิดความขัดแย้งในการประชุมสภาเมืองพัทยา และมีสมาชิกลาออกจนมีสมาชิกเหลือไม่ถึงกึ่งหนึ่ง ความเป็นจริงแล้วผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี ควรเสนอให้มีการยุบสภาเมืองพัทยาเพื่อคืนอำนาจให้ประชาชน แต่มีการใช้อำนาจ คสช.ที่ 85/2547 มาดำเนินการต่อโดยตีความแต่คำสั่งในข้อ 1 วรรค 2 ที่กำหนดว่าเมื่อมีสมาชิกสภาเมืองพัทยาเหลืออยู่ไม่ถึงกึ่งหนึ่งให้ถือว่าสมาชิกที่เหลืออยู่นั้นเป็นอันสิ้นสุดลง และจะต้องดำเนินการเพื่อให้ได้มาซึ่งสมาชิกสภาท้องถิ่น
อย่างไรก็ตามในประกาศ คสช.ที่ 85/2547 ข้อ 7,8 และ 10 นั้นเป็นการบังคับใช้กับสมาชิกที่มาจากการคัดเลือกและแต่งตั้งที่ระบุไว้อย่างชัดเจนว่า “ในกรณีที่สมาชิกสภาท้องถิ่นดำรงตำแหน่งอยู่ในวันที่ประกาศนี้ใช้บังคับว่างลง ให้สภาท้องถิ่นประกอบด้วยสมาชิกเท่าที่เหลืออยู่ในวันก่อนวันที่ประกาศนี้ใช้บังคับว่างลงให้สภาท้องถิ่นประกอบด้วยสมาชิกที่เหลืออยู่โดยไม่ต้องดำเนินการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นแทนตำแหน่งที่ว่าง” หมายความว่าแม้จะเหลือสมาชิกสภาเมืองพัทยาอยู่ 4 คนก็ยังสามารถปฏิบัติหน้าที่ต่อไป
ขณะที่ความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกา ระบุว่าสมาชิกสภาของ สม.ทั้ง 4 คนเป็นอันสิ้นสุดลง ทั้ง นี้เป็นไปตามข้อ 1 วรรค 2 แห่ง ประกาศ คสช.ที่ 85/2547 จึงมองว่าเป็นการให้ความเห็นที่ขัดกับประกาศของ คณะ คสช.ที่ 85/2547 ในข้อ 10 และบัญญัติไว้ในข้อ 7 และ 8 จึงถือว่าสมาชิกเก่าทั้ง 4 คนยังมีสถานภาพเป็นสมาชิกสภาเมืองพัทยาตามประกาศของ คสช.จนกว่าจะมีการจัดให้มีการเลือกตั้งตามกฎหมาย ด้วยเหตุนี้จึงไม่อาจนำความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกามาประกอบการดำเนินการสรรหาแต่งตั้งสมาชิกสภาเมืองพัทยาชุดใหม่ได้ จึงเห็นควรส่งเรื่องให้ศาลปกครองในการพิจารณาเพื่อดำเนินการต่อไป
นายสินไชย กล่าวต่อไปว่าที่ออกมาดำเนินการในเรื่องนี้ไม่ได้มีเจตนาที่ต้องการจะทำงานในหน้าที่สมาชิกสภาเมืองพัทยาต่อไป เพราะแท้จริงแล้ว สม.ทั้ง 4 คนก็มีภาระหน้าที่ทางสังคมที่สามารถช่วยเหลือและผลักดันเมืองพัทยาในอนาคตได้ แต่มองว่าการดำเนินการในลักษณะดังกล่าวอาจจะขัดต่อกฎหมายที่ขัดแย้งกันอยู่ และสิ่งสำคัญคือต้องการให้มีการเลือกตั้งหรือคืนอำนาจให้ประชาชนเท่านั้น.