ผู้เสียหายเหยื่อ “ดิไอคอนกรุ๊ป” แฉหลงเชื่อศิลปินคนดังจูงใจ ยอมลงทุนกว่าครึ่งล้าน สินค้าขายไม่ได้ สุดท้ายยอมเจ็บตัวไม่อยากให้คนตกเป็นเหยื่อ
จากกรณีมีผู้เสียหายนับพันคน ทยอยเข้าแจ้งความ บริษัทขายตรง ดิไอคอนกรุ๊ป ซึ่งมีมูลค่าความเสียหายหลายร้อยล้านบาท ในขณะที่กลุ่มผู้บริหารถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจตามจับกุมระลอกแรกจำนวน 18 คน
อย่างไรก็ตาม ผู้สื่อข่าวรายงานว่าในพื้นที่อำเภอบางละมุงมีผู้เสียหายจากบริษัท ดิไอคอนฯ จำนวน 3 ราย เดินทางมาพบพนักงานสอบสวน สภ.ห้วยใหญ่ เพื่อขอคำแนะนำและแจ้งความดำเนินคดี รายแรกคือนายสุพี อายุ 66 ปี และลูกชายคือ นายอินทนนท์ อายุ 30 ปี ชาวจังหวัดชลบุรี เปิดเผยว่า เมื่อปลายปี 2565 นายสุพี สนใจที่จะทำธุรกิจขายตรงผ่านทางออนไลน์ของบริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป โดยรู้จักผ่านศิลปินนักร้องยุค 90 ลูกครึ่งไทย-เยอรมัน เมื่อได้มีการติดต่อสอบถาม กระทั่งตัดสินใจร่วมลงทุน สมัครเป็นดีลเลอร์ ในราคา 25,000 บาท แต่สุดท้ายก็ถูกหว่านล้อมชักจูงให้ลงทุนเพิ่มในระดับ 250,000 บาท และหลงเชื่อลงทุนร่วมกันทั้งพ่อ-ลูก รวมเป็นเงินกว่า 500,000 บาท
สองพ่อลูกเหยื่อ บริษัท ดิไอคอนฯ กล่าวอีกว่า ตอนแรก คิดว่าจะต้องได้ผลตอบแทนอย่างแน่นอน เนื่องจากมีบุคคลทั้งดาราศิลปินมากมาย โชว์ภาพได้ผลกำไรตอบแทน ทั้งบ้านหลังใหม่มูลค่ากว่า 20 ล้านบาท ผลกำไรกว่า 5 ล้านบาท เพียง 17 เดือน โดยระบุว่าได้จากการขายออนไลน์กับดิไอคอนกรุ๊ป ทำให้เกิดความหลงเชื่อในความน่าเชื่อถือจากกลุ่มดาราและศิลปินที่โปรโมท ซึ่งยังได้เข้าร่วมการประชุมที่มีรถหรูซุปเปอร์คาร์หลาย 10 คัน รวมถึงได้ร่วมรับประทานอาหารกับศิลปินยุค 90 คนดังกล่าว ยิ่งทำให้ตายใจ
จนกระทั่งเวลาผ่านไป ไม่สามารถหาสมาชิกรายอื่นมาต่อได้ เนื่องจากเข้าใจถูกในระบบธุรกิจของบริษัทแล้วว่า เป้าหมายหลักไม่ใช่จากการจำหน่ายสินค้าที่ได้มาจากการสมัครเป็นดีลเลอร์ แต่เป็นการหาสมาชิกมาเป็นดีลเลอร์ต่อจากตนเอง แล้วจะได้รับสินค้าจากบริษัท ทำให้สินค้าที่ตนเองได้มานั้น ไม่สามารถขายออกได้ ถึงขั้นต้องนำไปบริจาคให้กับคนชรา เพราะสินค้าแต่ละชิ้นนั้นมีราคาที่สูง รวมไปถึงตนเองไม่อยากให้บุคคลอื่นตกเป็นเหยื่อต่อ ซึ่งการที่บริษัทดังกล่าวถูกแฉ ส่วนตัวรู้สึกดีที่ประชาชนจะได้รับรู้และไม่ตกเป็นเหยื่อเหมือนกัน
ส่วนอีกรายที่สองที่เข้าแจ้งความที่ สภ.ห้วยใหญ่ คือ นายนพมงคล อายุ 48 ปี พนักงานโรงงาน เปิดเผยว่าตนเองและพี่สาวตกหลุมพรางลงทุนร่วมกันไปกว่า 500,000 บาท ถึงแม้จะมีผลกำไรได้กลับคืนมาบ้าง แต่ก็เป็นเงินประมาณ 50,000 บาทเท่านั้น ส่วนสินค้านั้นไม่สามารถขายได้ จนบางอย่างหมดอายุไปแล้ว โดยเริ่มลงทุนเมื่อช่วงปี 2564 แต่ต้องตัดสินใจเลิกทำ เพราะไม่สามารถหาสมาชิกมาต่อได้ และไม่อยากขึ้นชื่อว่าเป็นบุคคลที่หลอกลวงผู้อื่น มาติดกับธุรกิจขายตรงของบริษัทนี้ ในวันนี้จึงนัดหมายกันเพื่อแจ้งความร้องทุกข์กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ หลังจากนี้อาจจะต้องเดินทางไปร้องเรียนต่อที่เจ้าหน้าที่สำนักงานคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ต่อไป
นอกจากนี้ เหยื่อบริษัท ดิไอคอนฯ ยังได้นำคลิปวิดีโอที่มี วิทยากรซึ่งเป็นดีลเลอร์ของบริษัทแห่งนี้ สอนกลุ่มผู้เข้าร่วมประชุมในการทำธุรกิจขายตรง และโฆษณาถึงการประสบความสำเร็จ มีผลตอบแทนอย่างมากมาย รวมถึงเอกสารหลักฐานในการสั่งซื้อสินค้ากับบริษัท ดิไอคอน กรุ๊ป และภาพถ่ายกับกลุ่มผู้ที่ร่วมลงทุน ร่วมรับประทานอาหารกับศิลปินมาเปิดเผยอีกด้วย