วันเสาร์, พฤษภาคม 18, 2024
Latest:
+บทความศาลไคฟง

“โครงการที่จอดเรือ” อีกหนึ่งโครงการของพัทยาที่ต้องสูญงบนับร้อยล้านบาท แต่ไม่สามารถใช้งานได้จริง

“โครงการที่จอดเรือพัทยา” ผ่านมากว่า 15 ปี ใช้งบสร้าง 300 กว่าล้านไม่เคยใช้ประโยชน์ สุดท้ายพังเหลือแต่ซาก ทิ้งเศษวัสดุเกลื่อนเมือง เมืองพัทยาสู้ต่ออุทธรณ์ศาลปกครองสูงสุด หลังศาลปกครองกลาง มีมติไม่ใช่ความผิดผู้ออกแบบโครงการ ส่อเมืองพัทยาอาจต้องรับผิดชอบเอง

จากกรณีที่เมืองพัทยาได้ว่าจ้างให้ บ.เทสโก้ เข้ามาศึกษาออกแบบก่อนจะว่าจ้างกิจการร่วมค้า Ping เข้ามาดำเนินการก่อสร้างโครงการที่จอดเรือแหลมบาลีฮาย ตั้งแต่ปี 2551 ในงบประมาณ 300 กว่าล้านบาท เพื่อรองรับการจอดเรือท่องเที่ยวจำนวนกว่า 300 ลำ ซึ่งโครงการดังกล่าวถือเป็นหนึ่งโครงการในแผนการจัด สร้างอาคารที่จอดรถ-จอดเรือ มูลค่ารวมกว่า 733 ล้านบาท โครงการนี้มีการส่งมอบงานไปตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนปี 2556 แต่หลังเวลาผ่านไปนานนับปี ก็ยังไม่สามารถเปิดใช้งานได้จริง

โครงการดังกล่าวที่ไม่สามารถเปิดใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และปล่อยให้มีสภาพชำรุดทรุดโทรมลงอย่างต่อเนื่อง สาเหตุหนึ่งมาจากที่ผู้ประกอบการกลุ่มเรือสปีดโบ๊ทกว่า 1,000 ลำ ที่ได้แจ้งไปก่อนหน้านี้แล้วว่าระบบไฮดรอลิกของโครงการนี้ ไม่สามารถรองรับและใช้งานจอดเรือได้จริง โดยเมืองพัทยาควรจะมีการศึกษาและสอบถามความคิดเห็นก่อนออกแบบและลงมาจัดสร้างโครงการ ทำให้เมื่อมีการก่อสร้างจนแล้วเสร็จ ก็ไม่สามารรถใช้งาน ขณะที่ปัญหาอื่นๆ ยังมีเรื่องของการเคลื่อนไหวของตะกอนทรายใต้น้ำ

สุดท้ายกับปัญหาสำคัญที่นำมากล่าวอ้างว่าที่โครงการไม่สามารถเปิดใช้งานเพราะรับผลกระ ทบอย่างหนักจากปัญหาปรากฏการณ์ภัยธรรมชาติคือ “พายุหว่ามก๋อ” ที่สร้างความเสียหายต่อโครงการอย่างหนักในปี 2558 ส่งผลให้โครงการพังเสียหาย ชำรุดไปเกินกว่า 50% จนสุดท้ายยังไม่ได้มีการแก้ไขปัญหาใดๆ ต่างโยนความผิดกันไปมาว่าเสียหายเพราะภัยธรรมชาติ หรือการออกแบบที่ไม่สามารถใช้งานได้จริง จนเป็นปัญหาคาราคาซังมาจนถึงปัจจุบัน

ต่อมาเมืองพัทยาได้แต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นมาเพื่อสำรวจความเสียหาย และข้อเท็จจริงว่าปัญหาที่เกิดขึ้นมาจากสาเหตุของภัยธรรมชาติหรือปัญหาเรื่องของหลักทางวิศวกรรม โดยขอความร่วมมือจาก 3 หน่วยงานหลักด้านวิศวกรรมทะเลและชายฝั่งจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กองทัพเรือ และสถาบันเทคโนโลยีพระจอมแกล้า เจ้าคุณทหารลาดกระบัง ที่จะเข้ามาร่วมตรวจสอบ กระทั่งในยุคของ พล.ต.ต.อนันต์ เจริญชาศรี เป็นนายกเมืองพัทยาที่ได้รับการแต่งตั้งมาจาก คสช.ได้ออกมาเปิดเผยว่าผลการตรวจสอบเสร็จสิ้นแล้ว พบความผิด 2 ประเด็น ได้แก่ เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้าข่ายการละเมิด ผิดพลาด ปล่อยปละละเลยโดยไม่เปิดใช้งานจริง ก่อให้เกิดความเสียหายต่อทรัพย์สินราชการ และส่วนที่สองคือ ความเสียหายจากภัยธรรมชาติ จนโครงการไม่สามารถใช้การได้ แต่จนถึงปัจจุบันเรื่องดังกล่าวก็เงียบหายไป ทั้งที่มีการติดตามตรวจสอบการใช้งบประมาณทั้งในส่วนของ ป.ป.ช. ป.ป.ท. หรือสำนักงบประมาณ อย่างต่อเนื่อง

มีรายงานว่าที่ผ่านมา พื้นที่บริเวณโดยรอบอาคารสนามกีฬาในร่ม ศูนย์กีฬาแห่งชาติภาคตะวันออก ซอยชัยพฤกษ์ 2 เมืองพัทยา จ.ชลบุรี เมืองพัทยาได้เก็บขนอุปกรณ์จำนวนมาก ซึ่งเป็นส่วนประกอบของโครงการที่จอดเรือมากองสุมทิ้งไว้เหมือนกองขยะ ส่วนใหญ่เป็นทุ่นเรือหลายร้อยชุด มูลค่าหลายสิบล้านบาท ประจานสายตาให้แก่ผู้พบเห็น โดยล่าสุดมีการสั่งให้ขนไปเก็บรักษาไว้ในที่ห่างไกลสายตาผู้คน เพื่อลดกระแสการวิพากษ์วิจารณ์จากสังคมที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อเมืองพัทยา

ด้านนายปรเมศวร์ งามพิเชษญ์ นายกเมืองพัทยา ระบุว่าโครงการนี้แม้จะไม่ได้อยู่ในสมัยที่มีการออกแบบและจัดซื้อจัดจ้าง แต่ได้ติดตามเรื่องมาโดยตลอดจนทราบว่าปัจจุบันโครงการนี้ เมืองพัทยาได้ส่งเรื่องฟ้องร้องต่อศาลปกครองกลาง เพื่อให้เอาผิดบริษัทผู้ออกแบบให้มารับผิดชอบกรณีที่เกิดความเสียหายขึ้น โดยระบุว่าการออกแบบไม่รัดกุม แต่ล่าสุดศาลปกครองกลางได้พิพากษาออกมาแล้วว่าผู้รับจ้างไม่มีความผิดต่อความเสียหายของโครงการที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะความผิดจากการออกแบบโครงสร้างของโครงการตามที่เมืองพัทยาฟ้องร้อง

เมื่อเป็นเช่นนี้ เมืองพัทยาจึงจำเป็นที่ต้องทิ้งสภาพของโครงการและวัสดุไว้ก่อนชั่วคราว เพื่อรอผลการพิจารณาใหม่ด้วยหลังทราบผลคำพิพากษาจากศาลปกครองกลางแล้ว เมืองพัทยาได้อุทธรณ์และส่งเรื่องฟ้องร้องต่อไปยังศาลปกครองสูงสุด เพื่อเอาผิดต่อไป ซึ่งหากศาลปกครองพิจารณาและพิพากษาให้ผู้ออกแบบมีความผิด ก็ต้องเร่งให้เข้ามาดำเนินการแก้ไขความเสียหายของโครงการทั้งหมด แต่หากศาลปกครองสูงสุดพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลปกครองกลาง ที่คาดว่าคงจะใช้อีกประมาณปีกว่าทุกอย่างจึงจะจบ เพราะเมืองพัทยาคงต้องมารับผิดชอบเองทั้งหมด ทั้งในส่วนของการรื้อถอนซากของโครงการออก จากนั้นต้องมาตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบสวนต่อไป เพื่อหาความผิดทางการละเมิดกับเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นนั้น

เกิดจากภัยธรรมชาติหรือเกิดจากความหละหลวมและความผิดพลาดจากบุคคลหรือหน่วยงานใดกันแน่.