นายก ส.ไก่ฯเผยค่าบาทอ่อน แม้ช่วยส่งออกดีแต่อาจไม่มีกำไร เหตุต้นทุนผลิตเกษตรปศุสัตว์พุ่ง
นางฉวีวรรณ คำพา นายกสมาคมส่งเสริมการเลี้ยงไก่แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ และประธานกรรมการบริหาร บริษัทในเครือฉวีวรรณ ผู้ส่งออกเนื้อไก่รายใหญ่ของไทย ได้ออกมาแสดงความคิดเห็นเรื่องค่าเงินบาทที่อ่อนตัวลงอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดใกล้แตะ 40 บาทต่อ1เหรียญดอลลาร์ว่า แม้จะส่งผลดีต่อผู้ประกอบธุรกิจส่งออก จากโอกาสที่จะได้รับคำสั่งซื้อสินค้ามากขึ้น แต่สถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่เปลี่ยนไปจากผลกระทบของการแพร่ระบาดของโรคโควิด -19 และการสู้รบอย่างยืดเยื้อยาวนานระหว่างรัสเซียและยูเครน ทำให้ประชากรทั่วโลกลดการใช้จ่าย ทั้งภาคอุปโภคและบริโภค มีผลต่อการสั่งซื้อสินค้าจากต่างแดน โดยเฉพาะภาคการส่งออกในธุรกิจเกษตรปศุสัตว์ ที่แม้เนื้อไก่จากไทยจะยังเป็นที่ต้องการของทั่วโลก แต่ปัญหาด้านการขนส่งที่ยากขึ้นและราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงจากการสู้รบ ส่งผลให้การใช้จ่ายทั่วโลกชะลอไป อีกทั้งราคาวัตถุดิบที่ใช้ประกอบในการอาหารสัตว์ซึ่งยูเครนเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่และปัจจุบันมีปัญหาทั้งเรื่องเพราะปลูกและการขนส่งก็ให้วัตถุดิบเกิดการขาดแคลนจนราคาปรับสูงขึ้นกว่าเท่าตัว
“ในวงการไก่ของไทยนั้น แม้ค่าเงินบาทจะอ่อนลงมากแต่ต้นทุนการผลิตที่พุ่งสูงขึ้น หากผู้ประกอบการไม่มีตลาดส่งออกที่ดี หรือไม่มีการทำตลาดที่มั่นคง อาจจะขาดทุนได้ในปีนี้ จากปัญหาต้นทุนวัตถุดิบอาหารสัตว์ทั้งข้าวโพด ถั่วเหลือง และอื่นๆ แพงขึ้น เท่าตัว” นางฉวีวรรณ กล่าว และยังบอกอีกว่าผ่านมาเกษตรกรได้ร้องเรียนผ่านไปยังหน่วยงานภาครัฐและรัฐบาลเพื่อให้หาทางช่วยเหลือแล้ว แต่เนื่องจากการช่วยเหลือที่ไม่ทันกับภาคการผลิตที่ต้องใช้เงินลงทุนเป็นจำนวนมาก ทำให้ภาพรวมการส่งออกเนื้อไก่ไทยเพิ่งจะเริ่มกระเตื้องขึ้นในช่วงเดือน ต.ค.-ธ.ค.นี้เท่านั้น แต่คาดว่าเมื่อพ้นเดือน ธ.ค.ไปแล้ว การกักตุนสินค้าเพื่อเตรียมไว้ใช้ในเดือน ม.ค.ปีหน้าของกลุ่มคู่ค้าในต่างประเทศ จะเกิดการชะลอตัวเมื่อถึงวันนั้นราคาเนื้อไก่ของไทยจะตกลงตามกลไกของตลาด
“แนวโน้มความต้องการเนื้อไก่ไทยในตลาดโลกขณะนี้เปลี่ยนไป จากเดิมที่เราผลิตเพื่อส่งขายในทันที แต่ในปีนี้เราเพิ่งจะมียอดสั่งซื้อจำนวนมากในเดือน ก.ย. ซึ่งหากเป็นสถานการณ์ปกติยอดสั่งซื้อสินค้าจะต้องเริ่มมาตั้งแต่เดือน เม.ย.- พ.ค. แล้วซึ่งในปีนี้ถือว่าช้ากว่าเดิมประมาณ 3-4 เดือน” นายกสมาคมส่งเสริมการเลี้ยงไก่แห่งประเทศไทยฯ ประเมินสถานการณ์ พร้อมระบุด้วยว่า สมาคมฯ คาดการณ์ว่าตัวเลขการส่งออกในปีนี้จะยังคงทะลุแสนตัน และสร้างเงินเข้าประเทศไม่น้อยกว่าหลักแสนล้าน แต่ในแง่ของการผลิตที่ต้นทุนไม่บาลานซ์กับการขายที่มีปัจจัยจากสงคราม ทำให้ราคาส่งออกไม่มั่นคง อีกทั้งการที่ต้องพึ่งพาการนำเข้าวัตถุดิบอาหารสัตว์จากต่างประเทศจึงทำให้ต้นทุนการผลิตของไทยยังสูงอยู่
ส่วนการเกิดสงครามในประเทศอิสราเอลนั้น นางฉวีวรรณ มองว่าในเบื้องต้นจะยังไม่มีปัญหาต่อการส่งออกของไทย เพราะประเทศคู่ค้ายังคงใช้ออเดอร์สินค้าเดิมที่สั่งซื้อล่วงหน้าไปจนถึงเดือน ธ.ค.ปีนี้ แต่หลังจากนั้นอาจหยุดการสั่งซื้อหากสงครามที่เกิดขึ้นทั้งในยูเครนและรัสเซีย รวมทั้งในฝั่งตะวันออกกลางไม่ยุติ
“ในส่วนของสมาคมฯ เราได้แจ้งเตือนสมาชิกให้ติดตามข่าวสารความเคลื่อนไหวจากทั่วโลก ขณะนี้พบว่าการผลิตเนื้อไก่เพื่อขายในประเทศเริ่มประสบปัญหาการขาดทุนแล้วจากการไม่มีตลาดรองรับ อีกทั้งยังมีโรงเชือดที่เกิดขึ้นใหม่จำนวนมากหันมาผลิตเนื้อไก่ขายภายในประเทศจนทำให้ราคาตกต่ำจากการผลิตที่ล้นตลาด ส่วนการส่งออกต้องพยายามเพิ่มคู่ค้ารายใหม่ให้ได้เพื่อความอยู่รอด ซึ่งในเรื่องนี้หวังว่า รมว.เกษตรฯ จะเข้ามาดูแลและควบคุมไม่มีเรื่องเนื้อไก่เถื่อนเกิดขึ้นเช่นเดียวกับปัญหาเนื้อหมูเถื่อนที่อาจจะซ้ำเติมตลาดให้ย่ำแย่ได้ ” นางฉวีวรรณ กล่าว