เมืองพัทยารอศาลปกครองสูงสุดชี้ขาดที่ดินอาชาแลนด์ เชิงเขาพระตำหนัก หากเป็นที่สาธารณะ เตรียมใช้ประโยชน์เพื่อส่วนรวม
นายปรเมศวร์ งามพิเชษฐ์ นายกเมืองพัทยา แถลงกลางที่ประชุมสภาเมืองพัทยา ถึงกรณีปัญหาที่ดินสาธารณะริมเชิงเขาพระตำหนักแหลมบาลีฮายว่า ที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันยังมีภาคเอกชนเข้ามาดูแลพื้นที่ของ บ.อาชาแลนด์ ตามโฉนดเลขที่ ฉ.8309 ขนาด 3 ไร่ 91 ตารางวา โดยจัดทำเป็นร้านอาหารและที่จอดรถให้กับนักท่องเที่ยวที่เดินทางไปยังเกาะล้าน แต่ต่อมาผู้ให้เช่า คือ บ.อาชาแลนด์ ได้ฟ้องขับไล่ผู้เช่า ด้วยให้เหตุผลว่าไม่ยินยอมชำระค่าเช่าตามสัญญา สุดท้ายผลปรากฏว่าศาลพิจารณาและแจ้งผลทางคดีว่าที่ดินแปลงดังกล่าวเป็นที่ดินสาธารณะตามคำพิพากษาของศาลปกครองกลาง จึงถือว่าไม่มีการครอบครองที่ดินและไม่ได้เป็นสิทธิของใคร และไม่มีสิทธิในการฟ้องขับไล่หรือชำระเงินหรือครอบครองไปทำประโยชน์แต่อย่างใด
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้เรื่องยังอยู่ในการพิจารณาของศาลปกครองสูงสุด หากจะนับเวลาของการพิจารณาแล้วคาดว่า จะมีการประกาศผลพิพากษากลางปี 2567 หรืออีกประมาณ 1 ปี โดยหากศาลปกครองสูงสุดพิพากษายืนตามศาลปกครองกลาง ที่ดินแปลงนี้ก็จะเป็นที่ดินสาธารณะโดยสมบูรณ์ ซึ่งในอนาคตหากมีผลเป็นไปตามที่คาดการณ์ ถือเป็นเรื่องที่น่ายินดีที่เมืองพัทยาจะมีแปลงที่ดินสาธารณะบนถนนในพื้นที่ของท่าเรือสำคัญเพิ่มขึ้น จากนั้นจะนำมาพิจารณาทำประโยชน์เพื่อสังคมส่วนรวมต่อไป
ขณะที่ นายวสันต์ จันทวาปี นิติกรชำนาญการพิเศษ กลุ่มงานกฎหมายเมืองพัทยา เปิดเผยเพิ่มเติมว่า สำหรับที่ดินแปลงนี้ศาลฎีกาพิพากษาตั้งแต่เดือนกันยายน 2560 หลังพนักงานอัยการฟ้องจำเลย จำนวน 7 ราย เรื่องความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ โดยระบุว่าที่ดินแปลงดังกล่าวที่แจ้งว่าทำการเกษตรขณะตรวจสอบการรังวัด แต่พบว่าที่ดินแปลงนี้มีการนำดินลูกรังมาถมใหม่ ไม่มีการทำประโยชน์มาก่อน จึงมีคำพิพากษาว่าที่ดินแปลงดังกล่าวเป็นโฉนดที่ออกโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่ยังมีการฟ้องร้องกันเรื่อยมากระทั่งปัจจุบัน โดยเรื่องนี้อยู่ในขั้นตอนของกลางศาลปกครองสูงสุดกำลังพิจารณา คาดว่าจะมีผลในเร็วๆนี้
ในส่วนของเมืองพัทยานั้นขณะนี้คงต้องดำเนินการในส่วนของเจ้าพนักงานท้องถิ่นที่จะเข้ามาดูแลในเรื่องของ พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร เป็นหลัก ดังนั้นเมื่อมีการตรวจพบว่าบนที่ดินแปลงของ บ.อาชาแลนด์ มีการก่อสร้างร้านอาหารขึ้น 1 แห่ง แต่เป็นการดำเนินการโดยไม่ได้ขออนุญาตจึงได้ปิดหมายประกาศตามอำนาจที่ให้ไว้ทั้งคำสั่งระงับการใช้ ต่อเติมอาคาร และคำสั่งให้รื้อถอน จนถึงปัจจุบันยังไม่มีการดำเนินการใดๆ ดังนั้นเมืองพัทยาจะนัดหมายกำหนดวันที่แน่ชัดเพื่อนำกำลังและเครื่องจักรเข้าไปรื้อถอนอาคารออกจากพื้นที่ดินแปลงนี้ก่อนตามอำนาจ
ส่วนกรณีของแปลงที่ดินอาชาแลนด์ถือเป็นเรื่องที่ต้องมีการสอบสวนตรวจสอบเพิ่มเติมอีก ด้วยทาง สำนักงาน ป.ป.ช.ได้ส่งเรื่องไปยังกรมที่ดินให้แต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นมา 1 ชุดตั้งแต่เดือนมีนาคม 2566 เพื่อให้พิจารณาหาข้อมูลเพิ่มเติมสนับสนุนในเรื่องของปัญหาโฉนดที่ดินจำนวน 7 แปลง ซึ่งเป็นที่ตั้งของ “วอร์เตอร์ฟรอนด์คอนโดมิเนียม” หลังศาลฎีกามีคำพิพากษาว่าเป็นโฉนดที่ดินที่ออกโดยมิชอบด้วยกฎหมาย โดยให้ระยะเวลาการพิจารณา 60 วัน แต่ทางคณะกรรมการได้มีการขอขยายเวลาออกไปอีก 60 วัน ซึ่งจะครบกำหนดในวันที่ 27 กรกฎาคมนี้ ที่จะมีการสรุปของการพิจารณา เพื่อส่งให้สำนักงาน ป.ป.ช. ประกอบเป็นข้อมูลต่อไป.