ศาลไคฟง #8 จับตา “ที่ดินปลายแหลมบาลีฮาย”กับสถานบันเทิงเส้นใหญ่

สกายเมาท์เทนต์” ดันต่อ..แม้ถูกจับซ้ำซากกรมที่ดินก็ยังไม่เพิกถอนโฉนด


เกิดอะไรขึ้นกับพื้นที่บริเวณปลายแหลมบาลีฮาย พัทยาใต้!!

จุดที่กำลังเป็นที่กล่าวขานกันหนักในขณะนี้ หลังจากเจ้าหน้าที่ตำรวจนำกำลังตรวจจับร้านอาหารกึ่งผับชื่อดัง “สกายเมาท์เทนต์” มาแล้วหลายครั้ง แต่ก็ยังสามารถกลับมาเปิดบริการได้อยู่!

ราวกับสิ่งที่ตำรวจเมืองพัทยานั้น “ไร้ความหมาย” หรือก็ “ไม่อยู่ในสายตา”

เลยต้องกลับมารื้อฟื้นความหลังกันสักนิดกับพื้นที่บริเวณดังกล่าว ที่พบว่า…

หลังจากที่ศาลฎีกาได้มีคำพิพากษาศาลที่ 6504/2560 เมื่อวันที่ 21 กันยายน 2560 นัดฟังคำพิพากษาเมื่อวันที่ 4 เมษายน 2561 ที่ผ่านมา ระบุว่า พนักงานเจ้าหน้าที่ได้ออกโฉนดเลขที่ 83096 ให้แก่ บริษัท อาชาแลนด์ จำกัด บริเวณปลายแหลมบาลีฮาย พัทยาใต้ เป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เนื่องจากมีการถมดิน และหินลงไปเลยรอยกัดเซาะของน้ำทะเลและเขื่อน และจากการสอบสาระบบที่ดินดังกล่าว พบว่าพนักงานเจ้าหน้าที่ย่อมทราบความเป็นมาของที่ดินเป็นอย่างดี แต่กลับพยายามรังวัดให้ตรงตามเนื้อที่ที่ปรากฏในหนังสือรับรองการทำประโยชน์ โดยมิได้คำนึงถึงแนวเขตที่ถูกต้อง จึงถือเป็นการออกโฉนดโดยมิชอบ ขณะที่พนักงานเจ้าหน้าที่ จำนวน 7 นาย ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ 5 นาย และเอกชน 2 ราย โดยมียกฟ้อง จำนวน 2 รายนั้น

นอกจากนี้ในยุคของ พล.ต.ต.อนันต์ เจริญชาศรี ขณะดำรงตำแหน่งนายกเมืองพัทยา ได้ลงนามในหนังสือที่ ชบ 52313/3302 ลงวันที่ 4 พฤษภาคม 2561 ถึงอธิบดีกรรมที่ดิน โดยร้องขอให้เพิกถอนโฉนดที่ดินเลขที่ 83096 หน้าสำรวจ 35409 ต.หนองปรือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี จากกรณีที่ศาลฎีกามีคำพิพากษาที่มีสาระ สำคัญสรุปได้ว่า

“มีการลงโทษเจ้าหน้าที่ของรัฐที่มีส่วนเกี่ยวข้องต่อการออกโฉนดแปลงดังกล่าวว่าเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบ ซึ่งเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ซึ่งผลจากการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายย่อมไม่ผูกพันหน่วยงานของรัฐ กรมที่ดินจึงสามารถพิจารณาดำเนินการเพิกถอนโฉนดที่ดินดังกล่าวได้ตามมาตรา 61 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ.2497 หรือพิจารณาส่งเรื่องให้สำนักงานอัยการสูง สุดเพื่อประกอบการฟ้องร้องเพิกถอนโฉนดที่ดินดังกล่าวอันเป็นการดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ต่อไป”

แต่จนถึงปัจจุบันที่ดินแปลงดังกล่าวยังไม่มีการดำเนินการใดๆ ที่เป็นรูปธรรม

มีรายงานว่านอกจากปัญหาเรื่องที่ดินของ “บ.อาชาแลนด์” ที่ยังไม่มีการดำเนินการตามคำพิพากษาของศาลฎีกาแล้ว ที่ดินแปลงนี้ยังมีผลพวงต่อสภาพปัญหามาจนถึงปัจจุบัน ด้วยพบว่ายังมีการปล่อยเช่าแปลงที่ดินดังกล่าวให้กับ “นักธุรกิจ” ในพื้นที่บางรายที่เข้าไปปรับสภาพที่ดิน พร้อมเปิดเป็นที่รับฝากจอดรถสำหรับประชาชนและนักท่องเที่ยว ส่งผลกระทบโดยตรงต่อ “โครงการที่จอดรถอัตโนมัติ” ของเมืองพัทยา จนมีการจัดวางแนวการเดินรถใหม่ พร้อมมีการตักเตือนภาคเอกชนเกี่ยวกับกรณีที่มีการติดตั้งป้ายเชิญชวน และการจัดคนมาโบกรถตลอดแนวถนนทางเข้าท่าเทียบเรือแหลมบาลีฮาย พัทยาใต้ มาอย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้ ต่อมาภายหลังยังมีการก่อสร้างอาคารในแปลงที่ดินดังกล่าวเพื่อจัดทำเป็นร้านอาหาร โดยใช้ชื่อ “สกายเมาท์เทนต์” ที่พบว่าตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองพัทยา เข้าจับกุมสั่งดำเนินคดีมาแล้วหลายครั้งในหลายกรณี โดยเฉพาะล่าสุดกับการฝ่าฝืนคำสั่งผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี ที่สั่งให้ปิดบริการเป็นการชั่วคราวในเวลา 30 วัน แต่กลับมีการลักลอบเปิดให้บริการอย่างไม่เกรงกลัวต่อกฎหมาย

ขณะที่จากการตรวจสอบไปยังสำนักการช่างเมืองพัทยา ได้รับแจ้งว่าที่ผ่านมามีการตรวจพบว่าอาคารที่ก่อสร้างภายในแปลงที่ดินดังกล่าวมีส่วนที่รุกล้ำที่ดินสาธารณะเชิงเขาพระตำหนักในพื้นที่กว่า 35 % ของพื้นที่อาคารโดยรวม จึงมีการปิดประกาศหมายคำสั่งตาม พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร ตามแบบ ค.3 หรือคำสั่งให้ระงับการก่อสร้าง ดัดแปลง หรือเคลื่อนย้ายอาคาร ตามมาตรา 40 วรรคหนึ่ง หรือให้ระงับการรื้อถอนอาคารตามมาตรา 41 วรรคหนึ่ง กรณีที่กระทำโดยไม่ได้รับใบอนุญาต แบบ ค.4 คำสั่งห้ามใช้อาคารหรือยินยอมให้บุคคลใดใช้อาคารที่อาจเป็นภยันตราย ตามมาตรา 40 วรรคหนึ่ง หรือมาตรา 41 วรรคหนึ่ง กรณีที่ไม่ได้รับใบอนุญาต และ แบบ ค.5 คำสั่งให้ระงับการก่อสร้าง ดัดแปลง เคลื่อนย้ายอาคาร ตามมาตรา 40 วรรคหนึ่งหรือให้ระงับการรื้อถอนอาคาร ตามมาตรา 41 วรรคหนึ่ง

โดยเจ้าหน้าที่สำนักการช่างเมืองพัทยาแจ้งว่าที่ผ่านมาทางเอกชนรายนี้ได้มายื่นขออนุญาตปลูกสร้างอาคารในแปลงที่ดินดังกล่าว ซึ่งตามกฎหมายยังคงสามารถกระทำได้แม้ว่าศาลฎีกาจะมีคำพิพากษาให้เพิกถอนโฉนดไปแล้วก็ตามแต่กรมที่ดินยังมิได้ดำเนินการ โดยทางผู้เช่าถือโฉนดครอบครองและสัญญาเช่าถูกต้อง แต่จากการตรวจสอบรายละเอียดพบว่ามีพื้นที่ของอาคารกว่า 35 % มีแนวรุกเข้าไปในที่ดินสาธารณะเชิงเขาพระตำหนัก จึงได้ออกหมายประกาศคำสั่งตาม พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร ซึ่งทางผู้เช่าได้ยื่นอุทธรณ์ต่อคณะกรรม การพิจารณาอุทธรณ์จังหวัดชลบุรี ที่ปัจจุบันกำลังรอผลการพิจารณาอยู่ จึงถือว่าในช่วงเวลาดังกล่าวภาคธุรกิจฝ่าฝืนคำสั่งตามกฎหมายควบคุมอาคารที่ให้ระงับการใช้อาคาร รวมทั้งการฝ่าฝืนคำสั่งของผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี ที่มีคำสั่งให้ปิดเป็นเวลา 30 วัน … งานนี้หากไม่แน่จริงคงทำไม่ได้ หรือไม่กล้าทำ…

การนำเสนอข่าวของสื่อมวลชนหลายแขนงในช่วงเวลาที่ผ่านมา คงมิได้เป็นการกลั่นแกล้งหรือนั่งเทียนเขียนข่าวไปวันๆ เพราะเหตุเกิดจริง เปิดจริง จับจริง และฝ่าฝืนจริง..คงต้องรอดูกันต่อไปว่าสุดท้ายที่ดินแปลงเจ้าปัญหาจะมีบทสรุปอย่างไร

เจ้าหน้าที่ของรัฐจะจริงจังแค่ไหน ด้วยปัญหาทั้งเรื่องของการรุกที่ดินสาธารณะเชิงเขา การดำเนินการเพิกถอนโฉนดตามคำสั่งศาล และการเปิดให้บริการแก่นักท่องเที่ยวทั้งรูปแบบที่จอดรถและสถานบริการที่ยังดำเนินการอยู่ในปัจจุบัน…


อธิบดี บุญชารี รายงาน