“บ้านสุขาวดี” อ่วม! แปะหมายเพิ่มอีก 2 ก่อสร้างอาคารไม่ได้รับอนุญาต-ล้ำที่ดินสาธารณะ
จากกรณีที่เมืองพัทยานำโดย นายสุธรรม เพ็ชรเกตุ รองปลัดเมืองพัทยา รักษาราชการแทนปลัดเมืองพัทยา นำกำลังเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองอำเภอบางละมุง เจ้าหน้าที่จากสำนักการช่างเมืองพัทยา เจ้าหน้าที่เทศ กิจ และเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.บางละมุง ลงพื้นที่บริเวณริมทะเลด้านหลัง “บ้านสุขาวดี” ก่อนทำการติดตั้งป้ายประกาศขนาดใหญ่เป็นประกาศเมืองพัทยา ระบุข้อความบริเวณนี้เป็นที่สาธารณะประโยชน์ ผู้ใดบุกรุกหรือครอบครอง เป็นการกระทำความผิดฐานเข้ายึดถือครอบครองที่ดินของรัฐ ตามมาตรา 9 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ.2497 ต้องระวางโทษตามที่ประมวลกฎหมายที่ดินที่กำหนดไว้ จึงขอให้ดำเนินการรื้อถอนอาคารที่ปลูกสร้างบนที่สาธารณะ พร้อมปิดหมายคำสั่ง พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร จำนวน 3 อาคาร ประกอบด้วย 1.อาคาร A เวทีการแสดงที่มีการก่อสร้างในพื้นที่สาธารณะ ที่ออกคำสั่งหมายแบบ ค.3 เพื่อระงับการก่อสร้าง ดัดแปลง หรือเคลื่อนย้ายอาคาร หมายแบบ ค.4 ที่ห้ามมิให้บุคคลใดใช้อาคารหลังดังกล่าว และหมายแบบ ค.7 หรือหมายคำสั่งรื้อถอนอาคารตามมาตรา 42 แห่ง พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร พ.ศ.2522 กรณีก่อสร้าง ดัดแปลง หรือเคลื่อน ย้ายอาคาร กระทำการโดยไม่ได้รับอนุญาต และไม่สามารถแก้ไขเปลี่ยนแปลงให้ถูกต้องได้ โดยทางเมืองพัทยาได้แจ้งความมายัง บ.เฮลท์ฟู้ด อินเตอร์เนชั่น (ไทยแลนด์) จำกัด โดยให้รื้อถอนอาคารโครงเหล็ก 1 ชั้น ขนาด 18.30×55.30 เมตร จำนวน 1 หลัง ที่ใช้เป็นเวทีห้องครัวขนาดใหญ่ และป้ายขนาด 7X9 เมตรจำนวน 2 ป้าย 2.อาคาร B ได้แก่อาคารโรงอาหารบริเวณที่ติดกับทางเดินสาธารณะติดทะเล ซึ่งมีการก่อสร้างอาคารโดยไม่ได้รับอนุญาตและก่อสร้างอยู่ในแนวร่น 20 เมตรจากระดับน้ำทะเลสูงสุด และ 3.ให้รื้อถอนอาคาร C ขนาด 5X 15 เมตร ภายใน 45 วัน นับแต่วันที่ 7 พฤศจิกายน 2562 โดยระหว่างการออกคำสั่งระงับการใช้อาคารนั้นมีการตรวจพบว่ายังมีการใช้อาคารในพื้นที่ดังกล่าวจัดกิจกรรมอยู่ จึงได้มอบหมายให้นิติกรทำการรวบรวมหลัก ฐานทั้งหมดเพื่อดำเนินการแจ้งความดำเนินคดีตามลำดับนั้น
ต่อมาเมื่อวันที่ 2 ธ.ค.2562 ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่จากสำนักการช่างเมืองพัทยา พร้อมเจ้าหน้าที่เทศกิจ นำอุปกรณ์และเครื่องมือ พร้อมหมายคำสั่งที่ลงนามโดยนายสนธยา คุณปลื้ม นายกเมืองพัทยา ไปปิดประกาศคำสั่งตามความผิดของ พ.ร.บ.ควบคุมอาคารเพิ่มเติมอีก 2 อาคาร ประกอบด้วย อาคาร ค.ส.ล.ขนาด 5 ชั้น ในพื้นที่ประมาณ 193×220 เมตร โดยปิดเหมายตามคำสั่ง ค.3 เพื่อให้ระงับการก่อสร้าง ดัดแปลง ,ค.4 เพื่อห้ามใช้อาคารหรือยินยอให้บุคคลใช้อาคารที่อาจเป็นอันตราย และ ค.10 เพื่อให้ดำเนินการยื่นคำร้องขอรับใบอนุญาตก่อสร้าง ดัดแปลง หรือรื้อถอน หรือเคลื่อนย้ายอาคาร โดยระบุว่ามีอาคารบางส่วนกินเข้ามาในพื้นที่ดินสาธารณะริมทะเล ขณะที่ตามกฎหมายควบคุมอาคารแล้วอาคารขนาดใหญ่จะต้องมีการกันแนวเขตจากขอบที่ดินเข้าไปโดยรอบในระยะ 6 เมตร พร้อมกันนี้เจ้าหน้าที่ได้ขึงแผ่นผ้ากันแนวเขตไว้หลักฐาน
ส่วนอีก 1 อาคาร เป็นอาคาร ค.ส.ล.สูง 5 ชั้น ขนาด 35×92 เมตร ตามคำสั่ง ค.3,ค.4 และ ค.9 เพื่อให้ยื่นคำร้องขอรับใบอนุญาตก่อสร้าง ดัดแปลง รื้อถอนหรือเคลื่อนย้ายอาคาร โดยทำการปิดประกาศไว้ พร้อมขึงแผ่นผ้าพลาสติกแสดงสัญลักษณ์ไว้เพื่อเป็นหลักฐาน
ด้านนายเกียรติศักดิ์ คงเขียว นายตรวจเขต สำนักการช่างเมืองพัทยา เปิดเผยว่าขณะนี้เมืองพัทยาโดยนายกเมืองพัทยาออกคำสั่งตาม พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร เพื่อปิดหมายเพิ่มอีก 2 อาคาร คืออาคารที่หันหน้าเข้าทะเลหรือมีลักษณะเป็นร้านอาหารรองรับนักท่องเที่ยว เนื่องจากอาคารจากการตรวจสอบระวางพบว่า มีบางส่วนที่มีแนวเข้าไปในพื้นที่ดินสาธารณะ และก่อสร้างโดยไม่ได้รับอนุญาต ขณะที่อาคารมีขนาดใหญ่จึงจำเป็นต้องกันแนวเขตโดยรอบของอาคารในระยะ 6 เมตร ซึ่งเป็นไปตามกฎหมายที่มีไว้ในกรณีฉุกเฉิน อาทิ เพลิงไหม้ จึงได้แจ้งให้แก้ไขและยื่นแบบคำร้องใบขออนุญาตก่อสร้างขณะที่อีกอาคารที่ปิดหมายนั้นพบว่าดำเนินการอยู่ในเอกสารสิทธิ์ครอบครองถูกต้อง แต่ตัวอาคารยังไม่ได้ขอรับอนุญาตจากเมืองพัทยา จึงได้ปิดหมายคำสั่งเพื่อ ให้เจ้าของอาคารไปดำเนินการยื่นคำร้องขอรับใบอนุญาตก่อสร้างอย่างเป็นรูปธรรม
นายเกียรติศักดิ์ กล่าวอีกว่าสำหรับกรณีของอาคารขนาดใหญ่จำนวน 3 อาคารที่เมืองพัทยาดำเนิน การไปก่อนหน้านี้ จากกรณีที่ตรวจสอบพบว่ามีการปลูกสร้างบนที่ดินสาธารณะขนาด 11 ไร่นั้น เมืองพัทยาได้ดำเนินการตามขั้นตอนจนครบตามขบวนการแล้ว ทั้งคำสั่งห้ามใช้ ดัดแปลง และรื้อถอน อย่างไรก็ตามปัจจุบันพบว่าทางบ้านสุขาวดีได้ส่งหนังสือขออุทธรณ์คำสั่งมายังเมืองพัทยา โดยระบุว่าคำสั่งนี้เป็นคำสั่งที่ออกมาโดยมิชอบโดยแจ้งว่าเป็นที่ดินงอกตามธรรมชาติที่ครอบครองมานานกว่า 20 ปีแล้ว ซึ่งกรณีนี้เมืองพัทยาได้จัดส่งหนังสือดังกล่าวไปยังคณะกรรมการพิจารณาการอุทธรณ์ระดับจังหวัดชลบุรีแล้ว ก่อนจะนำผลการพิจารณามาดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป อย่างไรก็ตามทุกขั้นตอนดำเนินการอย่างเป็นธรรม มีการตรวจสอบและเอกสารที่ชัดเจนและสามารถตรวจสอบได้.