“บิ๊กกบ” สั่งปรับแผนเสริมกำลังช่วงเคอร์ฟิว หลังคนเริ่มเมินกม.ฝ่าฝืนพ.ร.ก.ฉุกเฉินเ พียบ

พล.ต.ต.นันทชาติ ศุภมงคล รองผู้บัญชาการ ภาค 2 เปิดเผยว่า ตำรวจภูธรภาค 2 ได้มีการปรับแผนด้วยการลดกำลังสายตรวจประจำด้านคัดกรองโควิด-19 ลง พร้อมจัดกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง และเจ้าหน้าที่ทหาร มาเป็นสายตรวจพิเศษและสายตรวจเคลื่อนที่เร็ว ในช่วงเวลาเคอร์ฟิว เพื่อเสริมกำลังสายตรวจปกติของทุกสถานีในตำรวจภูธรภาค 2 เพื่อให้การป้องปราบการฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินมาประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

การปรับกำลังเจ้าหน้าที่กว่า 100 ชุด ในการสนธิกำลังร่วมกันทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ ฝ่ายปกครอง และทหาร ทั้งนี้เพื่อให้ประชาชนในพื้นที่ปฏิบัติตามกฎหมาย หลังจากที่ผ่านมาพบมีการฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ขับรถเล่นในช่วงเวลาเคอร์ฟิว บางกรณีพบมีการออกจากเคหะสถานมาซื้อเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ภายในหมู่บ้าน และมองว่าการฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินเป็นเรื่องเล็กน้อยสามารถทำได้ ซึ่งกรณีดังกล่าวตำรวจภูธรภาค 2 กำชับให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทุกสถานี หากพบมีการกระทำความผิดให้จับดำเนินคดีทันที ทั้งนี้จะดูที่เจตนาการกระทำความผิดและใช้ดุจพินิจในการตักเตือนก่อน เช่น กรณีที่ออกมาจากเคหะสถานมาซื้อเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในช่วงเวลาเคอร์ฟิว จะจับกุมทันที แต่หากอยุ่ในช่วงเวลาเดินทางจากเลิกทำงาน หรือมีเหตุจำเป็น แต่อยู่ในช่วงเคอร์ฟิวจะพิจารณาเป็นกรณีไป

รองผู้บัญชาการ ภาค 2 เปิดเผยอีกว่า สถิติที่ผ่านมาในตำรวจภูธรภาค 2 ทั้ง 8 จังหวัด พบมีผู้ฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินบ้าง วันละ 10-30 คดี ส่วนมากจะเป็นการฝ่าฝืนออกจากเคหะสถานมาขับรถเล่นในหมู่บ้าน การรวมกลุ่มภายในบ้าน 10-20 คน ซึ่งถือว่าผิดกฎหมาย โดยผู้ฝ่าฝืนจะมีโทษ จำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 4 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19