เมืองพัทยา เร่งงานสร้างเตาเผากำจัดขยะเกาะล้านที่มีปริมาณใกล้แสนตัน คาดเริ่มทดลองเดินเครื่องปลายเดือนนี้

เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นมาแล้วหลายปี เป็นข่าวในสื่อหลายต่อหลายครั้ง หนำซ้ำยังเป็นปัญหาสำคัญที่สร้างผลกระทบต่อภาพลักษณ์ด้านการท่องเที่ยวของเมืองพัทยาอย่างรุนแรง หนีไม่พ้น “ปัญหาขยะล้นเกาะล้าน” จากปริมาณขยะที่เริ่มตกค้างตั้งแต่ปี 2559 กว่า 3 หมื่นตัน จนถึงปัจจุบันมีการสะสมจนเพิ่มปริมาณอย่างรวดเร็วถึงกว่า 7-8 หมื่นตัน กระทั่งมีเสียงเรียกร้องจากประชาชนและหลายฝ่ายให้เมืองพัทยาเร่งดำเนินการแก้ไขอย่างจริงจัง เพราะหากปล่อยไว้แหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติแหล่งสุดท้ายที่สำคัญแห่งนี้จะถูกย่ำยีและเสื่อมโทรมลงในที่สุด

ปัญหากองขยะมูลฝอยบนเกาะล้านนับวันจะยิ่งถูกวิพากษ์วิจารณ์และเป็นกระแสสังคมหนักมากขึ้น ประชาชนและนักท่องเที่ยวทั้งในพื้นชุมชนบ้านเกาะล้าน ม.7 ต.นาเกลือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี ร้องเรียนให้หน่วยงานรัฐเข้าไปตรวจสอบ เนื่องจากปัจจุบันปัญหายิ่งทวีความรุนแรง จากปริมาณขยะที่ถูกกองสุมทิ้งไว้จำนวนหลายหมื่นตัน บริเวณเขานม หน้าหาดแสม สร้างปัญหามลพิษทางกลิ่นและภาพลักษณ์ที่เสียหายในพื้นที่ท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ แต่การบริหารจัดการแก้ไขยังไม่มีประสิทธิภาพและมีแนวทางที่ชัดเจนมากนัก

จากเดิมที่ขยะมูลฝอยที่มีปริมาณขยะเฉลี่ยอยู่วันละ 15-20 ตัน จะมีการขนถ่ายโดยเรือบรรทุกจากเกาะสู่ฝั่งเพื่อกำจัดประมาณวันละ 20-24 ตัน แต่ที่ผ่านมา สภาพของเรือขนถ่ายเกิดการชำรุดจนทำให้ไม่สามารถใช้การได้ ทำให้ปริมาณขยะสะสมเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่องตามอัตราปริมาณของนักท่องเที่ยว เฉลี่ยวันละกว่า 50 ตัน ส่งผลให้เกิดปัญหาขยะตกค้างไม่สามารถขนถ่ายไปไหนได้ เป็นเหตุให้จุดพักขยะในพื้นที่จำนวน 12 ไร่ บริเวณเขานม มีปัญหาขยะตกค้างและสะสมขึ้นเรื่อยๆ จนมีปัจจุบันมีขยะรวมว่า 70,000 ตัน

เมื่อปัญหาทวีความรุนแรงมากขึ้น สภาเมืองพัทยา จึงอนุมัติงบประมาณจำนวน 3 ล้านบาท เพื่อว่าจ้างบริษัทที่ปรึกษาจากสถานบันเทคโนโลยี พระจอมเกล้าพระนครเหนือ เข้ามาทำการศึกษาและวาง แผนแม่บทในการแก้ไข โดยมีแนวคิดในการจัดสร้างเตาเผาขยะขนาดมาตรฐานเพื่อจัดการปัญหาขยะให้หมดสิ้นไป ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายจากส่วนกลางถึงปัญหาขยะว่า “เกิดที่ไหนกำจัดที่นั่น” จึงมีผลสรุปว่าจะจัดทำเตาเผาขยะไร้มลพิษจำนวน 2 เตา เพื่อเผาขยะตกค้างและขยะใหม่ให้หมดไป ซึ่งผลการศึกษานี้ผ่านการทำประชาพิจารณ์การออกแบบและวิธีการบริหารจัดการ ก่อนจะทำหนังสือขอความเห็นชอบตามประกาศกระทรวงมหาดไทย ให้ภาคเอกชนเป็นผู้ลงทุน ไม่ใช้งบประมาณหลวงในการดำเนินการ กระทั่งผ่านความเห็นชอบจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในโครงการการก่อสร้างศูนย์กำจัดขยะมูลฝอยชุมชน ด้วยวิธีเผาทำลายบนพื้นที่เกาะล้านแบบครบวงจรที่มีระยะเวลา 25 ปี ซึ่งจากผลการศึกษากำหนดค่าใช้จ่ายและผลตอบแทนทางการเงินของโครงการศูนย์กำจัดขยะมูลฝอยชุมชนด้วยวิธีเผาทำลาย มีอัตราค่ากำจัดขยะมูลฝอยอยู่ที่ตันละ 1,900 บาท และปรับขึ้น 10 % ทุก 5 ปี โดยต้องก่อหนี้ผูกพันงบประมาณรายจ่ายเกินกว่าหนึ่งปีงบประมาณ ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ.2564-2588 รวม 25 ปี เป็นเงินทั้งสิ้น 934,557,370 บาท

ทั้งนี้โครงการเตาเผาขยะเกาะล้านแบบครบวงจรใช้ระบบลำเลียงฉีดแบบบดย่อย ที่มีการลดความชื้นและระบบผสม โดยการลำเลียงขยะจะไปที่ห้องเผาไหม้แบบแก๊สซิฟิเคชัน (ควบคุมอากาศ 2 ห้องเผา ห้องเผาที่ 1 เผาขยะที่อณุหภูมิไม่ต่ำกว่า 600 องศาเซลเซียส ห้องเผาที่ 2 เผาขยะที่อณุหภูมิไม่ต่ำกว่า 800 องศาเซลเซียส ปัจจุบันเกาะล้านมีขยะตกค้างอยู่ประมาณ 7 หมื่นตัน ซึ่งผู้รับจ้างจะต้องทำการกำจัดทั้งขยะเก่าและขยะใหม่ ไปพร้อมๆ กัน คาดว่าจะใช้ระยะเวลาประมาณ 10 ปี จึงจะสามารถกำจัดขยะตก ค้างให้หมดไปได้

ทั้งนี้ นายปรเมศวร์ งามพิเชษฐ์ นายกเมืองพัทยา เปิดเผยว่าปัญหาขยะบนชุมชนบ้านเกาะล้านเป็นปัญหาที่สะสมมามายาวนานตั้งแต่ปี 2556 ด้วยเหตุจากไม่สามารถบรรทุกขยะใส่เรือเพื่อนำมาทิ้งฝั่งเมืองพัทยาได้ เพราะสภาพเรือขนส่งที่เก่าและชำรุด ทำให้ชุมชนบ้านเกาะล้าน ม.7 ต.นาเกลือ อ.บางละมุง มีปริมาณขยะสะสมจำนวนมาก จึงเป็นที่มาของการจัดสร้างเตาเผขยะขึ้น ทั้งนี้โครงการดังกล่าวได้ดำเนินการมาระยะหนึ่งแล้ว และจะมีการทดลองระบบในส่วนของการคัดแยกขยะ รวมถึงระบบของเตาเผาขยะในช่วงปลายเดือนมิถุนายนนี้ คาดว่าจะสามารถเปิดดำเนินการได้ในช่วงกลางเดือนสิงหาคม และจะเป็นการกำจัดขยะทั้งขยะเก่าที่ฝังกลบอยู่ที่นี่ประมาณแสนกว่าตัน และขยะใหม่ที่เกิดขึ้น อย่างไรก็ตามต้องรอดูในการดำเนินการจริง เพราะจะต้องเอาขยะที่เกิดขึ้นในประจำวัน ซึ่งเป็นไปตามฤดูกาล โดยพื้นฐานอยู่ที่ประมาณ 10-25 ตัน เพราะฉะนั้นที่เหลือก็จะเอาขยะเก่าที่มีการฝังกลบไปกำจัด โดยหลังจากกำจัดแล้วจะมีขยะ 2 ประเภท คือ ประเภทที่ใช้ไม่ได้แล้วก็ต้องเอาไปใช้ในการฝังกลบต่อไป ส่วนประเภทที่ใช้ได้ จะเป็นสมบัติของเมืองพัทยา ซึ่งต้องพิจารณาอีกทีว่าจะทำเป็นอิฐหรือทำอะไรที่จะเป็น CSR ให้กับประชาชนต่อไปในอนาคต.