เจ้าท่าฯ พัทยาแจงกรณีเรือร้างริมแหลมบาลีฮาย ประสานเมืองพัทยาเคลื่อนย้ายแล้ว ขู่เอาผิดเจ้าของเรือ

ตามที่ผู้สื่อข่าวได้รับการร้องเรียนว่ามีเรือจอดทิ้งไว้เป็นระยะเวลาร่วม 3 เดือน โดยไม่ขยับไปไหน สร้างความเดือดร้อนให้กับผู้ประกอบการเรือในเรื่องกลิ่นและเส้นทางจราจร ซึ่งเรือลำดังกล่าว เป็นเรือโดยสารขนาดใหญ่ 2 ชั้น อยู่ในสภาพผุพัง จอดจมลงไปในทะเลครึ่งลำ โดยมีเชือกผูกยึดตัวเรืออยู่กับรั้วกั้นทางเดินเท้า รอบลำเรือมีเพรียงทะเล เปลือกหอย เกาะติดอยู่เต็มลำ ส่งกลิ่นเหม็นรบกวน และกีดขวางการจราจรดังน้ำ ทั้งนี้จนถึงปัจจุบัน เจ้าของเรือยังไม่มีการดำเนินการใดๆ ทั้งสิ้น

ต่อมา เมื่อวันที่ 6 ธ.ค.2566 นายเอกราช คันธโร ผู้อำนวยการสำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคที่ 6 สาขาพัทยา ชี้แจงถึงเรื่องนี้ว่า เรือลำดังกล่าวชื่อเรือ “รุ่งวรวรรณ 7” ตามหลักฐานทะเบียนเรือ เป็นเรือบรรทุกคนโดยสาร สามารถบรรทุกคนโดยสารได้ 200 คน แต่ในช่วงวิกฤตโควิด-19 ที่ผ่านมา ได้หยุดดำเนินการไป ปัจจุบันเรือลำดังกล่าวทางสำนักเจ้าท่าฯ ได้เพิกถอนทะเบียนเรือออกจากสารบบไปแล้วเมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2566 เนื่องจากเจ้าของเรือผู้ครอบครองกรรมสิทธิ์ไม่ได้ดำเนินการต่อใบอนุญาตใช้เรือ แม้เจ้าท่าฯ เคยทำหนังสือแจ้งไปแล้วเมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 2565 ให้มาต่อใบอนุญาตภายในวันที่ 25 กันยายน 2565 หลังถูกเพิกถอนแล้ว เรือจึงมีสถานะกลายเป็นทรัพย์ที่ไม่มีเจ้าของ ซึ่งเมื่อก่อนผูกจอดไว้ใกล้กับชายฝั่งของท่าเทียบเรือพัทยาใต้ ที่ผ่านมามีคลื่นลมทำให้เรือลำนี้ผุพังชำรุดเสียหายจมลงครึ่งลำ ลักษณะเกยตื้นอยู่ เป็นภาพที่อุจาดตา ไม่สวยงาม ในเรื่องดังกล่าวเจ้าท่าฯ ไม่ได้นิ่งนอนใจ ได้ประสานไปยังเมืองพัทยา นำเรือออกนอกพื้นที่ คาดว่าคงจะแล้วเสร็จภายในอาทิตย์นี้

นอกจากนี้ นายเอกราช ยังกล่าวว่าเจ้าของเรือผู้ครอบครองสิทธิ์ทุกลำ ที่ไม่มีความประสงค์จะใช้เรือแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเรือประเภทใดก็ตาม โดยเฉพาะเรือประมง ต้องมาของดใช้เรือ หรือขอเพิกถอนทะเบียนเรือให้ถูกต้องตามกฎหมาย มิเช่นนั้นแล้ว หากเรือที่ครอบครองอยู่ ไม่มีสถานะในการงดใช้หรือเพิกถอน อาจจะเป็นเรือที่ถูกนำไปใช้ในการกระทำความผิดได้ การตรวจสอบจะนำไปสู่ความเป็นเจ้าของ ภาระความรับผิดชอบทางกฎหมายก็ยังเกิดอยู่กับเจ้าของเรือ และอาจจะมีโทษทางอาญาด้วย หรือเรือที่ทำให้เกิดความไม่ปลอดภัยต่อการเดินเรือ หรือทำให้เกิดมลพิษต่อสิ่งแวดล้อมทางน้ำ มีโทษปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือทั้งจำและปรับ