วันพุธ, ธันวาคม 3, 2025
Latest:

ตร.พัทยาจับแก๊งการ์ดคลับอินเดียยกพวกยำลุงวินยับ รับทำร้ายผิดคน! ส่วนวินต้นเรื่องโร่มอบตัว รับชกอินเดีย 1 หมัด เย็บ 7 เข็ม ฉุนปมตบไหล่-บิดคันเร่ง

จากกรณีแก๊งชายฉกรรจ์รุมทำร้าย นายคมสัน กองสุข อายุ 47 ปี วินจักรยานยนต์รับจ้าง ได้รับบาดเจ็บบวมปูดที่เปลือกตาซ้าย และนิ้วมือขวาฟกช้ำ กลางซอยมารีน พัทยาใต้ จ.ชลบุรี ท่ามกลางสายตานักท่องเที่ยว โดยผู้บาดเจ็บคาดว่าเป็นฝีมือ “บอสอินเดีย” สั่งการ์ดคลับดังในวอล์กกิ้งสตรีท ลงมือ เพราะมีปัญหากับเพื่อนวิน แต่ยืนยันว่าเป็นการทำร้าย “ผิดตัว”

ต่อมาเมื่อช่วงเย็นวันที่ 23 พฤศจิกายน 2568 พ.ต.ท.อรุษ สภานนท์ รอง ผกก.สส. สภ.เมืองพัทยา พร้อมด้วย พ.ต.ท.สุรเดช อิ่มใจ และ พ.ต.ท.ธเนศ แสงหิรัญ สว.สส.สภ.เมืองพัทยา นำกำลังเข้าตรวจจุดเกิดเหตุ พร้อมกับเชิญตัว นายปกรณ์ อายุ 43 ปี วินจักรยานยนต์ต้นเรื่องมาสอบสวน

นายปกรณ์ ให้การว่า เมื่อช่วงเช้า 20 พ.ย. ตนและนายคมสัน ผู้บาดเจ็บ ต่างประกอบอาชีพวินจยย.อยู่ซอยมารีน พัทยาใต้ ขณะนั้นมีลูกค้าชาวต่างชาติ 4 คนเรียกใช้บริการ ตนกับลุงคมสัน จึงรับซ้อนสาม 2 คัน ไปส่งโรงแรมแห่งหนึ่ง ระหว่างจอดติดไฟแดง ลูกค้าชาวอินเดียที่ซ้อนท้ายรถลุง ได้เอื้อมมือไปบิดคันเร่ง ขณะที่ตนกำลังเปิดกูเกิลแมปดูเส้นทาง จึงหันไปตักเตือนว่า “ทำแบบนี้ไม่ดีนะอันตราย” แต่ลูกค้าซึ่งมีอาการเมาสุรา กลับหยิกข้อมือและตบไหล่ตน ทำให้เกิดมีปากเสียง ก่อนตนจะจอดรถลงไปชก 1 ครั้ง แล้วขี่รถออกมาโดยไม่คิดว่าจะบานปลาย จนมาทราบข่าวภายหลังว่า ลุงคมสันถูกตามรุมทำร้าย จึงเชื่อว่าฝ่ายอินเดียสั่งการ์ดคลับดังมาเล่นงาน “แต่ผิดตัว”

ด้าน นายเดชาธร อายุ 29 ปี ผู้จัดการคลับอินเดียชื่อดังเมืองพัทยา ได้นำการ์ด 4 คนที่ร่วมลงมือเข้าพบตำรวจ ให้การว่า หลังเพื่อนชาวอินเดียถูกวินชกจนต้องเย็บ 7 เข็ม จึงไปเปิดกล้องวงจรปิด พบวินที่สวมเสื้อเบอร์ 18 ขี่รถออกไปอย่างรวดเร็ว จึงออกตามหาในวันถัดมา เมื่อพบชายใส่เสื้อวินเบอร์ 18 ซึ่งคือ นายคมสัน นั่งรอลูกค้า กลุ่มการ์ดจึงกรูเข้าทำร้ายจนล้มฟุบ แต่ระหว่างชุลมุน นายคมสัน ต่อยสวนจนการ์ดหนึ่งรายตาเขียวหน้าฟกช้ำ ก่อนจะแยกย้าย ต่อมาจึงรู้ว่าทำร้าย “ผิดตัว” เพราะรับข้อมูลมาผิด

ทั้งนี้ นายเดชาธร ขอชี้แจงด้วยอีกว่า ลูกค้าชาวอินเดียที่ถูกชก “ไม่ใช่บอสอินเดียหุ้นส่วน หรือเจ้าของร้าน” แต่เป็นเพียงลูกค้าที่รู้จักกันในฐานะเพื่อนเท่านั้น

พ.ต.ท.อรุษ สภานนท์ เปิดเผยว่า เบื้องต้นได้จัดทำประวัติทั้งสองฝ่ายเป็นหลักฐาน และเตรียมควบคุมตัวคู่กรณีรวมถึงผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด ส่งให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป.