ผบช.สตม.พร้อมเต็มร้อย สนองนโยบายรัฐบาล ฟรีวีซ่า “จีน-คาซัคสถาน”

ที่ โรงแรมพัทยา ดิสคัฟเวอรี่ บีช พล.ต.ท.ภาคภูมิภิภัทฒ์ สัจจพันธุ์ ผู้บัญชาการ สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง(ผบช.สตม.) เป็นประธานเปิดการสัมมนาเชิงปฏิบัติการ เพื่อยกระดับการปฏิบัติงานของสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง โดยมี เจ้าหน้าที่ ตม. จากทั่วประเทศ เช้าร่วมประชุมสัมมนา ซึ่งในการสัมมนาในครั้งนี้ได้รับเกียรติจาก นายปรเมศวร์ งามพิเชษฐ์ นายกเมืองพัทยา มาเป็นวิทยากรบรรยายในหัวข้อ “กลยุทธ์การดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติหลังเปิดประเทศ”

พล.ต.ท.ภาคภูมิภิภัทฒ์ สัจจพันธุ์ ผบช.สตม. กล่าวถึงการขับเคลื่อนนโยบายตามมติคณะรัฐมนตรี(ครม.) เกี่ยวกับนโยบายฟรีวีซ่าผู้ถือหนังสือเดินทางจากจีนและคาซัคสถาน ซึ่งจะเริ่มในวันที่ 25 กันยายน 2566 ถึง 29 กุมภาพันธ์ 2567 ว่า มิติของสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองนั้น มีอยู่ด้วยกัน 2 มิติ คือ 1.เรื่องของการอำนวยความสะดวกให้กับนักท่องเที่ยวที่ได้รับการยกเว้นการตรวจต่างๆ ซึ่งตามมติครม.ก็จะเป็นนักท่องเที่ยวจีนและนักท่องเที่ยวคาซัคสถาน และ 2.เรื่องการของการตรวจให้เดินทางเข้ามาในประเทศ ซึ่งทั้ง 2 มิติ สตม.ได้เตรียมพร้อม 100% เพื่อสนองนโยบายของรัฐบาลในการกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวกลับมาคึกคักอีกครั้ง หลังสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย

ส่วนเรื่องของบุคลากร เจ้าหน้าที่ตม.ที่สนามบินนั้น ได้มีการมุ่งเน้นไปที่สนามบินสุวรรณภูมิ ที่มีช่องตรวจคนเข้าเมืองถึง 119 ช่องตรวจในการเดินทางเข้าประเทศ โดย ตม.2 ซึ่งเป็นหน่วยรับผิดชอบหลัก แม้จะมีกำลังพลที่ไม่เพียงพอในช่วงที่มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศในช่วงพีคนั้น ได้มีการเตรียมการในการจัดกำลังพลของตม. เข้าไปเสริมอีก 150 นาย ทั้งนี้จะเริ่มนำกำลังเสริมเข้าปฏิบัติการในช่วงกลางเดือนนี้เป็นต้นไป

พล.ต.ท.ภาคภูมิภิภัทฒ์ กล่าวต่ออีกว่า สำหรับการจัดสัมมนาในครั้งนี้จะเป็นการเน้นย้ำในเรื่องของกฎหมายภาพรวมทั่วไป รวมถึงแนวทางความร่วมมือกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และการขอความร่วมมือจากผู้ประกอบการโรงแรมในการแจ้งที่พักให้กับ สตม. เมื่อมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าไปพักอาศัยในสถานประกอบการ โรงแรมนั้นๆ ซึ่งเป็นไปตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมือง มาตรา 38 ถือเป็นหน้าที่ของโรงแรม เจ้าของบ้าน หรือผู้ครอบครองจะต้องแจ้ง สตม.ว่ามีชาวต่างชาติเข้าไปพัก สิ่งนี้จะเป็นมิติที่ทำให้ทราบว่าผู้ที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทยที่แท้จริงมีจำนวนเท่าไหร่ และสถิติดังกล่าวจะนำไปใช้ประโยชน์ในมิติต่างๆได้ต่อไป โดยขณะนี้ได้มีการผลักดันการแจ้งการเข้าพักของนักท่องเที่ยวต่างชาติไปยังสถานประกอบการต่างๆ แล้ว แบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนของการประสานตำรวจท้องที่ และการประสานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจท่องเที่ยว

อีกส่วนจะเป็นเรื่องของระบบปฏิบัติการในการทำให้ผู้ประกอบการ เจ้าของโรงแรม สามารถเข้าเว็ปของ สตม. ได้อย่างสะดวกรวดเร็ว และไม่มีปัญหาโดยในปัจจุบันได้มีการยกระดับในการแจ้งที่พักไปอีกหนึ่งระดับ เมื่อผู้ที่แจ้งที่พักพับสตม.แล้วสามารถปริ้นท์เอกสารมายืนยันกับเจ้าหน้าที่ได้ และจะเดินระบบเต็มรูปแบบในวันที่ 15 กันยายนนี้ จึงอยากขอความร่วมมือผู้ประกอบการโรงแรมและที่พักต่างๆ ให้ปฏิบัติตามกฎหมายในการร่วมเป็นเจ้าบ้านรับนักท่องเที่ยว เมื่อมีการแจ้งที่พักนักท่องเที่ยวได้ครบนั้น หมายถึงจะทำให้รู้ถึงตำแหน่งของคนต่างด้าว ในการดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของคนต่างด้าวที่เดินทางมาท่องเที่ยวในประเทศไทย ก่อให้เกิดภาพลักษณ์ที่ดีและยังเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวให้กับประเทศไทยด้วย.