เมืองพัทยาระดมทุกภาคส่วนถกรับมือพายุ “โนรู” ตรึงกำลังเฝ้าระวัง 7 จุดน้ำท่วมซ้ำซาก กรมเจ้าท่าฯ ห้ามเรือเล็กออกจากฝั่ง

จากกรณีกรมอุตุนิยมวิทยาคาดการณ์พายุไต้ฝุ่น “โนรู” ว่าจะเคลื่อนขึ้นฝั่งบริเวณประเทศเวียดนามตอนกลางตั้งแต่วันที่ 28 กันยายน – 1 ตุลาคมนี้ โดยส่วนภาคตะวันออกนั้น คาดว่าจะมีฝนฟ้าคะนองร้อยละ 80 ของพื้นที่กับมีฝนตกหนัก ถึงหนักมากบางแห่ง ไล่ตั้งแต่จังหวัดนครนายก ปราจีนบุรี สระแก้ว ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง จันทบุรี และตราด

ต่อมาเมื่อวันที่ 27 ก.ย.นายปรเมศวร์ งามพิเชษฐ์ นายกเมืองพัทยา พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร หัวหน้าส่วนราชการ ประชุมร่วมกับตัวแทนหลายภาคส่วน อาทิ สำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคพัทยา ฝ่ายปกครอง สถานีตำรวจในท้องที่ อาสาสมัครป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน มูลนิธิสว่างบริบูรณ์พัทยา สมาคมภาคธุรกิจการท่องเที่ยว เพื่อร่วมหารือเตรียมความพร้อมรองรับสถานการณ์จาก “พายุโนรู” ในพื้นที่เมืองพัทยา จ.ชลบุรี

นายปรเมศวร์ กล่าวว่ากรณีของ “พายุโนรู” ถือเป็นเรื่องเร่งด่วน ที่เมืองพัทยาต้องบูรณาการทุกภาคส่วนในการเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับ เนื่องจากคาดว่าพายุที่พัดผ่านมาจากประเทศเวียดนาม และลาว ก่อนจะมาถึงอ่าวไทยจะมีกำลังทั้งลมแรงซึ่งแจ้งไว้กว่า 120 กม./ชม. และคลื่นในทะเลที่สูงกว่า 1-2 เมตร ขณะที่เมืองพัทยายังดำเนินการในส่วนของการวางระบบท่อระบายน้ำยังไม่แล้วเสร็จ ขณะที่แผนใหญ่จากกรม โยธาธิการ ซึ่งจัดทำแผนแม่บทไว้ในงบประมาณกว่า 26,000 ล้านบาท ก็ยังไม่มีความคืบหน้ามากนัก ดังนั้นหากปริมาณฝนในช่วง 4 วันนี้ มีปริมาณสูงกว่าปีที่ผ่านมาคือ 194 ม.ม.จะทำให้มวลน้ำจากย่านชุมชนที่อยู่อาศัยทางทิศตะวันออกไหลบ่าเข้าสู่เมืองพัทยาเป็นจำนวนมาก จนเกิดปัญหาน้ำท่วมขังซ้ำซากในพื้นที่เดิม 7 จุด ได้แก่ แยกมุมอร่อยถนนพัทยาสาย 3 ถนนสุขุมวิทพัทยาใต้ ถนนเลียบทางรถไฟเขาตาโล ซอยหนองใหญ่ ถนนสายชายหาดพัทยา หรือซอยสุขุมวิท 45 เป็นต้น ซึ่งแต่ละจุดจะมีน้ำท่วมขังสูง ตั้งแต่ 30 ซม.-1 เมตร จนรถเล็กไม่สามารถสัญจรผ่านไปมาได้ นอกจากสร้างความเสียหายต่อทรัพย์สิน และสร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนแล้ว ยังเป็นความเสียหายต่อภาพลักษณ์และการท่องเที่ยวของเมืองพัทยาอีกด้วย

ขณะที่นายเอกราช คันธโร ผู้อำนวยการสำนักงานเจ้าท่า พัทยา กล่าวว่า นอกจากมาตรการทางบกแล้ว มาตรการทางทะเลก็ถือเป็นเรื่องที่ต้องเข้มงวดและดูแลอย่างใกล้ชิด เนื่องจากพายุไต้ฝุ่น “โนรู” นี้อาจมีความเร็วลมกว่า 120 ชม./ชม หรือยกของที่มีน้ำหนักได้กว่า 1 ตัน ขณะทะเลมีคลื่นสูง ดังนั้นจึงจะออกประกาศเตือนห้ามเรือเล็กขนาดเครื่องยนต์เดียวออกจากฝั่งโดยเด็ดขาด ขณะที่เรือท่องเที่ยวที่จอดทอดสมอริมฝั่งให้ยกขนย้ายกลับไปยังอู่จอดที่เหมาะสม ส่วนเรือโดยสารขนาดใหญ่ข้ามฟากระหว่างเมืองพัทยาและเกาะล้าน ต้องมีการตรวจมาตรฐานในการเดินทางของประชาชนและนักท่องเที่ยวอย่างเข้มงวด ทั้งเสื้อชูชีพ อุปกรณ์ดับเพลิง เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม สิ่งหนึ่งที่น่าวิตกคือปัญหาน้ำหลากลงสู่ชายหาดที่กรมเจ้าท่าใช้งบเสริมทรายไปจำนวนนับร้อยล้านบาทจะถูกน้ำกัดเซาะเป็นจำนวนมาก ซึ่งที่ผ่านมาเมืองพัทยาเร่งเข้ามาแก้ไขในทันทีด้วยการใช้รถแบ็คโฮโกยทรายขึ้นมาเกลี่ยด้วยดี แต่กับพายุลูกนี้ยังไม่ทราบได้ว่าจะมีมวลน้ำมากขนาดไหน และความเสียหายมากเท่าใด จึงขอให้เฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด เพราะอาจเกิดความเสียหายต่อโครงการและการท่องเที่ยว และหากทะเลมีคลื่นลมแรง คงต้องสั่งระงับการเดินเรือเช่นกัน ทั้งนี้ หากมีปัญหาทางทะเล สามารถแจ้งชุดเผชิญเหตุของกรมเจ้าท่าฯได้ตลอด 24 ชม.ที่สายด่วน โทร 1199

ด้านนายวุฒิศักดิ์ เริ่มกิจการ รองนายกเมืองพัทยา กล่าวว่าหากพายุดังกล่าวพัดผ่านมาและฝนตกหนักจริงตลอด 4 วัน เมืองพัทยาประชาชนและนักท่องเที่ยวต้องประสบกับความเดือดร้อนแน่นอน เนื่องจากเป็นพายุขนาดใหญ่ที่กลายสภาพเป็นลมไต้ฝุ่น ดังนั้น นอกเหนือจากที่เมืองพัทยาได้เร่งดำเนินการไปก่อนหน้านี้ ได้แก่ การวางระบบระบายน้ำขนาดใหญ่ การขุดลอกท่อระบาย การจัดเตรียมเครื่องสูบขนาดใหญ่แล้ว แต่ว่าหากปริมาณมวลน้ำฝนมาเกินระบบที่เตรียมไว้ และมีน้ำทะเลหนุน จะทำให้เกิดปัญหาน้ำท่วมขังอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

สิ่งสำคัญคือเจ้าหน้าที่ของเมืองพัทยาต้องบูรณาการร่วมกับทุกภาคส่วนในการจัดกำลังชุดเฝ้าระวังเผชิญเหตุ ไปเฝ้าสังเกตการณ์หรืออำนวยความสะดวกให้กับประชาชนและนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะใน 7 จุดที่น้ำท่วมซ้ำซากเพื่อลดความเสียหายแก่ประชาชนและทรัพย์สิน พร้อมจัดเตรียมกระสอบทราย ป้ายประชาสัมพันธ์เพื่อหลีกเลี่ยงเส้นทางด้วย.