สถานการณ์น้ำดิบภาคตะวันออกน่าห่วง เหลือใช้แค่ 43% วอนทุกคนช่วยประหยัดน้ำ

นายทินกร สุทิน ผู้อำนวยการโครงการชลประทานชลบุรี เปิดเผยถึงสถานการณ์น้ำดิบในพื้นที่ภาคตะ วันออกในการประชุมสมาคมนักธุรกิจและการท่องเที่ยวเมืองพัทยา ที่โรงแรมเดอะกรีนพาร์ครีสอร์ท เมืองพัทยา จ.ชลบุรี ว่าปัจจุบันสถานการณ์น้ำดิบในพื้นที่ภาคตะวันออกโดยเฉพาะจังหวัดชลบุรีถือว่าน่าเป็นห่วง และแย่กว่าปีที่ผ่านมา เนื่องจากจังหวัดชลบุรีมีแหล่งกักเก็บน้ำดิบในปริมาตรรวม 294 ล้าน ลบ.ม.แต่ปรากฏว่าถึงวัน นี้มีปริมาณน้ำดิบเหลือเพียง 129 ล้าน ลบ.ม.หรือคิดเป็น 43% ของความจุรวม เนื่องด้วยปีนี้ในพื้นที่ภาคตะวันออกมีฝนตกเฉลี่ยน้อยกว่าปกติถึง 40-50% ขณะที่การผันน้ำจากลุ่มน้ำบางปะกง และคลองพระองค์เจ้าไชยานุชิต ต้องหยุดดำเนินการไปก่อน หลังสูบน้ำกลับเข้ามากักเก็บได้ไม่นาน เนื่องจากน้ำมีความเค็มเข้มข้นสูง

อย่างไรก็ตาม ขณะนี้กำลังจะเร่งและมีแผนการผันน้ำจากอ่างเก็บน้ำหนองปลาไหล ที่ จ.ระยอง ที่รับน้ำมาจากอ่างเก็บน้ำปะแสร์ ของจังหวัดจันทบุรี เพื่อสูบมาลงที่อ่างหนองค้อและส่งต่อสู่พัทยาเพื่อลดปัญหา โดยในส่วนของจันทบุรีหรือระยองเองปริมาณน้ำก็ไม่ได้สูงมากนักจึงต้องมีการวางแผนในการขุดแหล่งน้ำเพิ่มเติม หรือใช้น้ำดิบจากแหล่งกักเก็บของเอกชนมาร่วมด้วย ขณะที่ในอนาคตจะมีการผันน้ำเพิ่มจากอ่างเก็บน้ำปะแสร์มาสู่พื้นที่ชลบุรีอีกปีละกว่า 80 ล้าน ลบ.ม.เพื่อแก้ปัญหาในระยะยาว อย่างไรก็ตามกรณีของจังหวัดชลบุรีถือเป็นศูนย์กลางในโครงการพัฒนาพื้นที่พิเศษระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก หรือ EEC ซึ่งคาดว่ารัฐบาลจะให้ความสำคัญและลงมาดูปัญหาเรื่องของสถานการณ์น้ำดิบเพื่อรองรับความเจริญและความเติบโตในอนาคตอย่างแน่นอน

ขณะที่ นายสุทัศน์ นุชปาน ผู้จัดการสำนักงานการประปาส่วนภูมิภาคพัทยา เปิดเผยว่าสำหรับเมืองพัทยามีแหล่งน้ำดิบหลักที่ใช้ในการผลิตจำนวน 5 อ่าง ได้แก่ อ่างเก็บน้ำหนองกลางดง ห้วยสะพาน ห้วยขุนจิต ชากนอก และมาบประชัน ซึ่งมีความจุรวมเต็มปริมาตร 39.52 ล้าน ลบ.ม.ขณะที่การใช้น้ำของเมืองพัทยาถือว่ามีปริมาณสูงสุดในประเทศถึงปีละกว่า 80 ล้าน ลบ.ม. ทำให้การใช้น้ำไม่พอเพียงอยู่แล้ว จึงต้องผันน้ำมาจากแหล่งอื่นมาช่วยเสริม ทั้งจากอ่างเก็บน้ำบางพระ อ่างเก็บน้ำหนองปลาไหล และอ่างเก็บน้ำปะแสร์ รวมทั้งการซื้อน้ำดิบจาก บ.อีสวอร์เตอร์ จำกัด (มหาชน) ในสัดส่วนกว่า 20 % ซึ่งทำให้การแจกจ่ายน้ำในพื้นที่เมืองพัทยาไม่มีปัญหา ส่วนสายการผลิตก็สามารถดำเนินการได้เต็มความสามารถ แต่ในปีนี้พบว่าสถานการณ์ของปริมาณน้ำดิบที่เหลือในหลายแหล่งมีปริมาณไม่เท่ากับปีที่ผ่านมา เนื่องจากปัญหาของฝนที่ตกลงมาน้อยกว่าปกติและสภาวะฝนทิ้งช่วงจากปรากฏการณ์ “เอลนีโญ” จึงทำให้มีปริมาณฝนที่จะไหลเข้าสู่อ่างน้อยลง จึงจำ เป็นต้องมีการสูบน้ำสำรองมาใช้จนทำให้ปริมาณเหลือจำกัด และคาดว่าจะใช้งานได้ถึงเดือนมิถุนายนปี 2563 ซึ่งแม้ว่าจะยังมีน้ำเหลืออยู่บ้างแต่จำเป็นต้องคงสภาพไว้เพื่อป้องกันปัญหาอ่างแตกหรือไม่อุ้มน้ำ อย่างไรก็ตามปัจจุบันได้มีการสูบน้ำดิบเพิ่มเติมจากอ่างเก็บน้ำหนองปลาไหลมาเติมที่สถานีผลิตประปาพัทยาจากเดิมวันละ 7 หมื่น ลบ.ม.เป็นวันละ 1.1 แสน ลบ.ม.

นายสุทัศน์ กล่าวต่อไปว่าจากการคาดการณ์ในปกติก่อนถึงเดือนมิถุนายนจะมีฝนตกลงมาในทุกปี ซึ่งจะทำให้ปริมาณน้ำดิบเพิ่มขึ้น แต่ทางการประปาเองคงต้องวางแผนทั้งในระยะสั้น กลาง และยาว เพื่อให้ปัญหาไม่เกิดผลกระทบต่อผู้บริโภค หรือน้อยที่สุด ซึ่งนอกจากการปรับปรุงสายการผลิต การวางระบบท่อใหม่ และการแก้ไขปัญหาท่อแตกรั่วและการสูญเสียน้ำแล้ว ก็มีแผนโครงการในการผันน้ำดิบเข้ามาเพิ่มขึ้น

รวมทั้งการรณรงค์ให้ผู้ประกอบการและประชาชนใช้น้ำอย่างประหยัด ขณะที่ช่วงเวลาอันใกล้นี้อาจต้องมีการลดแรงดันน้ำลงบ้างบางส่วนเพื่อประหยัดน้ำ ซึ่งกรณีนี้จะมีผลกระทบบ้างในพื้นที่สูงแต่คงเป็นช่วงระยะเวลาสั้นๆเท่านั้น.