ขย่มรัง “มาเฟียอินเดีย”สยายปีก คุม “วอล์คกิ้งสตรีท” “ลมใต้ปีก” หนุน ดุดันไม่เกรงใจใคร!
“ลาเอ๊ยลา…ขึ้นต้น เป็นลำไม้ไผ่ พอเหลาลงไปกลายเป็นบ้องกัญชา”
ฉากทัศน์แรก ดูดุดันไม่เกรงใจใคร ข่าวดังเปรี้ยงปร้างระเบิดเทิดเทิง โจษจันกันไปทุกตรอกซอกซอย กระหึ่มทั่ว “วอล์คกิ้งสตรีท”พัทยาใต้
เอ๊ะ! แล้วไหง… ดุ้นเหล็กมหาประลัย กลายเป็น “ไฟแช็ก” จุดซิกาแรตยาเส้น ไปได้!!
ข่าว ผู้จัดการชาวอินเดีย คนดูแลสถานบันเทิง “บอสคลับ – Boss Club” ตั้งอยู่ใจกลางย่านถนนบันเทิงของเมืองพัทยา กระดิกนิ้วสั่งบอดี้การ์ดประจำตัว หิ้วนักท่องราตรีเชื้อชาติเดียวกัน…
ไปรุม “ตื้บ”จนเนื้อตัวเขียวช้ำ หนำซ้ำยังงัด “ยมทูตเหล็ก”จ่อหัวข่มขู่ไม่ให้ต่อสู้ขัดขืน ก่อนที่ตัวผู้จัดการเอง จะเผ่นหนีอย่างว่อง ราวกับนินจาฮาโตริ
หลังเกิดเหตุ “นายโรหิต” เหยื่อความโหดวัย 33 ปี หอบความบอบช้ำ ขึ้นโรงพักเมืองพัทยา ช่วงกลางดึกของวันที่ 26 กันยายน 2568 นำความ เข้าแจ้งต่อพนักงานสอบสวน บอกว่าว่าโดน “มาเฟีย”คุมร้านกระทืบ สาเหตุมาจาก เขาคิดว่าบังโรหิต บิดค่าเหล้าเบียร์ คือจะชักดาบนั่นแหละ
แต่พอไปเจ๊าะแจ๊ะแกะเกาเรื่องราวมา จึงรู้ว่าเจ้าของสถานบันเทิง ในวอล์คกิ้งสตรีทเกือบทุกที่ ต่างรู้จัก “บังโรหิต” หนุ่มเจ้าสำราญคนนี้กันดิบดี เขาคือนักเที่ยววีไอพี เกรดพรีเมี่ยมของหลายร้านในย่านดังกล่าว
เอกลักษณ์เฉพาะตัว ใครก็ลอกเลียนแบบไม่ได้ คือ เที่ยวก่อน ทูมอร์โรเคลียร์ ….แบบว่ากินก่อนจ่ายทีหลัง ประมานนั้น ไม่ใช่ “ตลกบริโภค”กะโหลกกะลา จนเป็นที่มาของเมนูโหด “ยำสหบาทา” จานใหญ่
โดยวันเกิดเหตุ บังโรหิต กินเที่ยวอยู่ที่คลับประจำแห่งหนึ่ง แต่ผู้จัดการของสถานบันเทิง “บอสคลับ” มาชักชวนไปเที่ยวยังคลับ ที่ตัวเองดูแล พอไปตามคำชวน ช่วงกำลังเติมเหล้าเข้าปาก ผู้จัดการออกปากขอยืมสร้อยคอทองคำของบังโรหิตไปสวมใส่ที่คอตัวเอง
หลังสรวลเสเฮฮาไปได้สักพัก จึงทวงสร้อยคืน แต่ผู้จัดการตัวตึง ไม่ยอมคืนให้ โดยบอกให้เคลียร์บิลเครื่องดื่มก่อน ถึงจะยอมคืน จึงเป็นชนวนเหตุโต้เถียง และบานปลาย
ระหว่างโต้วิวาทะกันอยู่ การ์ด2คนได้ปรี่เข้ามาลากตัวไปทำร้าย ใช้ไม้หวดไปที่ขาหลายครั้ง โดยมีผู้จัดการใช้อาวุธปืนจ่อศรีษะ ข่มขู่บังคับให้จ่ายเงินทันที พร้อมกับยึดพาสปอร์ตไว้ด้วยความย่ามใจ
เรื่อง “แขกตีแขก” ตกเป็นข่าวดังสะท้านสะเทือนเลื่อนลั่น กระทบต่อภาพลักษณ์การท่องเที่ยวเมืองพัทยาพอสมควร เพราะในช่วงพักหลัง ข่าวการ์ดสถานบันเทิงไล่กระทืบนักเที่ยวเริ่มซาลง ไม่เคยเกิดขึ้นมาให้เห็นบ่อยเหมือนก่อน
พอเคสนี้ปังขึ้นมา… ทางการเขาเคยบอกไว้แล้วนะว่า…อย่าเล่นกับระบบ!
คล้อยหลังเพียงไม่กี่วัน นายพัชรพัชร์ ศรีธัญญนนท์ นายอำเภอบางละมุง สั่งให้ นายณฐาภพ ยมจินดา ปลัดอำเภอฯ เปิดปฏิบัติการ “เขียนเสือให้วัวกลัว” เมื่อตอนเที่ยงคืนกว่า ของวันที่ 30 กันยายน 2568
ด้วยการแตะมือกับ ร.ต.อ.จิตติสุข สุธีนิทัศน์วงศ์ รอง สวป.สภ.เมืองพัทยา, ร.ต.อ.อภิสิทธิ์ พึ่งแย้ม รอง สว.สทท.4 กก.2 บก.ทท.1, ร.ต.อ.อิงควัชร์ เกรียงสินกุลยศ และ ร.ต.อ.พงศ์เจริญ ทองไพบูลย์ รองสารวัตรฯตรวจคนเข้าเมืองชลบุรี
ประกอบกำลังผสม 4 หน่วยนับร้อยนาย ฝ่ายปกครองอำเภอบางละมุง ,ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง,ตำรวจ สภ.เมืองพัทยา และตำรวจท่องเที่ยวพัทยา บุกเข้าปิดล้อม เผด็จศึก “บอสคลับ” ต้นตอตัวก่อปมฉาว ทำเอานักเที่ยวกว่า 300 คนที่อารมณ์กำลังฟินเว่อร์ ถึงกับวงแตก!
เจ้าหน้าที่ตรวจสารเสพติด เจอพนักงานของร้าน มีปัสสาวะสีม่วง 9 คน แถมยังใช้แรงงานอินเดีย,พม่า,อุซเบกิสถาน มาเป็นพนักงานอีกกว่า 40 คน ตรวจสอบไม่มีใบอนุญาตทำงาน และเจอใบอนุญาตทำงานที่ผิดกฎหมาย ทั้งหมดถูกนำตัวไปดำเนินคดี
นอกจากนี้ ยังสแกนดูทุกซอกหลืบ เพื่อค้นหาผู้จัดการที่อาจหลบซ่อน อยู่แต่ก็ไร้เงา เกมตาต่อตา ฟันต่อฟัน โกงมา…โกงกลับ! จับแบบ “เชือดไก่ให้ลิงดู” ยุทธวิธีกดดันทรงนี้ ถือเป็นการหวดด้วย “ไม้แข็ง” ตามด้วยฮุคซ้ายด้วยหมัดเด็ด สอยเข้ากระโดงคาง เสนอเรื่องไปยังผู้ว่าฯ ให้มีคำสั่ง “ปิดตาย” แบบโป้งเดียวจอด!
แอคชั่น “ตอกตะปู ปิดฝาโลง”ลุยจับผับฉาว งานนี้ไม่ใช่แค่ล็อกคอดีดไข่ให้ดิ้นทุรนทุราย แต่มันไม่ได้ต่างไปจาก การลาก “บอสคลับ”ออกไปตบกลางวอล์คกิ้งสตรีท เพื่อให้กลุ่มที่กำลังสยายปีก แผ่อิทธิพลได้เห็น และจำไว้เป็นบทเรียน
แล้วในที่สุด เกมกดดันเป้าหมายก็ได้บรรลุผลตามคาด 1 ตุลาคม 2568 นายบิตตู วิสชาล หนุ่มอินเดียวัย 35 ปี ผู้จัดการทั่วไปของ “บอสคลับ-ผับอินเดีย” ปรากฏตัวควงคู่กับทนายความ เข้ามอบตัวต่อ พ.ต.ท.โกสละ งามผ่อง รองผู้กำกับการสอบสวน สถานีตำรวจภูธรเมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี
เขาได้นำหลักฐานชิ้นสำคัญ “ปืนไฟแซ็ก”โดยอ้างว่าเป็นอาวุธ ที่ใช้ก่อเหตุ มามอบให้กับทางตำรวจ!!
เบื้องต้น พนักงานสอบสวน แจ้งข้อกล่าวหา พ.ร.บ.อาวุธปืน, กักขังหน่วงเหนี่ยว,รวมทั้งทำร้ายร่างกาย เจ้าตัวปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา พร้อมกับใช้หลักทรัพย์ เงินสด 1แสนบาท ยื่นขอประกันตัวในชั้น พนักงานสอบสวน ออกไปต่อสู้คดี
เรื่องนี้ มันมาถึงจุดนี้ได้ไง “พีคในพีค” ท่อนเหล็กกลายเป็นฟืน ปืนกลายเป็นไฟแช็ก ขึ้นต้นเป็นลำไม้ไผ่ พอเหลาลงไปกลายเป็น บ้องกัญชา…ซะงั้น
คนแรกที่ยังไม่ปักใจเชื่อคือ พนักงานสอบสวน ส่วนชาวบ้าน นอกจากส่ายหน้าเป็นพัดลมแล้ว ยังขำกลิ้งเหมือนดูละครลิงกับหมา!
เอาละในเมื่อคดีมีช่องให้สู้ มันก็ต้องเดินให้สุดซอย ใครผิด ใครถูก ว่ากันไปตามเนื้อผ้า! เพราะในที่สุดแล้ว “ความจริง”มีเพียงหนึ่งเดียว เท่านั้น!
หันมาโฟกัส สถานีชาร์จแบตของเหล่าผีเสื้อราตรี ย่าน “วอล์คกิ้งสตรีท” กันสักหน่อย… ลมหายใจของแลนด์มาร์คยามค่ำคืน ณ ปีพุทธศักราชนี้ ต่างกับ 10 กว่าปีก่อนลิบลับ บรรดานักย่ำความฉ่ำแสงสี ไฟนีออน รับรู้สัมผัสได้ชัดเจน
ความเปลี่ยนแปลงของกลุ่มคนผู้ประกอบการธุรกิจกลางคืน พลิกจากฟ้าเป็นเหว ไนต์คลับ ผับ บาร์ คาราโอเกะ ยุคก่อนเจ้าของ จะเป็นพวกฝรั่งมังค่า ลูกค้าส่วนใหญ่ก็เป็นคนกลุ่มเดียวกัน
สายลมแห่งการเปลี่ยนแปลงโหมซัด ช่วงหลังจาก “โควิด” ซาลง เมื่อชาวโลกหันกลับมาจับมือสู้ เลิกกลัวมหาภัยไวรัส ด้วยการเติมลมหายใจ ให้กับธุรกิจ ปั๊มหัวใจการท่องเที่ยว ให้ฟื้นคืนกลับมาเต้นเร่าอีกครั้ง
แต่สูบฉีดเลือดเข้าไปเท่าไหร่ อาการตอบสนองกลับไม่กระเตื้องเท่าที่ควร ไหนต้องวิ่งสู้ฟัดกับภาวะเศรษฐกิจ “สโลว์ดาวน์”ดำดิ่ง แถมยังต้องลุ้น กับข่าวปมสั่งรื้ออาคาร 101 ราย ที่ยังคาราคาซัง ยื้อกันไม่เลิก ขณะชีพจรธุรกิจท่องเที่ยวที่ยังอ่อนไหว พลอยอ่อนล้า ลงไปเรื่อย
ในที่สุด กลุ่มทุนชาติทางยุโรป ก็ถอดใจ ยอมยกธงขาว พากันถอนสมอ ปล่อยมือขายกิจการกลางคืน ทิ้งถนนบันเทิง หอบเงินเบนหัวเรือ ไปกะเก็งเล็งหาทำเลใหม่…
วอล์ค์กิ้งสตรีท เข้าสู่ยุคผลัดใบ เปลี่ยนเรือธง…
“อินเดีย” คือผู้มาใหม่ ยึดพื้นที่ในชุมชนวอล์คกิ้งสตรีท เบ็ดเสร็จสะเด็ดน้ำ!
ธงผืนใหม่ปักลงบนถนนบันเทิงสายเก่า หลายสิ่งหลายอย่างจึงเปลี่ยนไป นักธุรกิจสายเลือดภารตะมากหน้าหลายตา หลั่งไหลเข้ามายึดหัวหาด ถนนบันเทิงล้นหลาม
สัจธรรมความจริงในสังคมทุกวงการ มักหนีไม่พ้นคน 4 จำพวก ขาว เทา ดำ ด่าง ทุกสรรพสิ่งย่อมมีสองด้านเสมอ! ทั้ง “ธรรมะ” และ อธรรม คู่ขนานกันไป!
การแผ่ขยายอิทธิพล สยายปีกของกลุ่มทุนใหม่ ที่เข้ามา ยึดหัวหาดบันเทิงย่านวอล์คกิ้งสตรีท ก็เฉกเช่นเดียวกัน…
ฝ่ายซีก “อธรรม” มักถูกตีตราว่า “มาเฟีย” ตั้งตัวเป็นขาใหญ่ ดูแลผลประโยชน์ และคุ้มครองกลุ่มชนสีขาว ที่ต้องยอมจ่าย “ตั๋วช้าง” ผ่านทางขาใหญ่ เพื่อความอยู่รอดทางธุรกิจ
กลุ่มก้อนที่เพิ่งเริ่มหัดตั้งไข่ แต่ว่า “มาเฟียน้องใหม่”กลับโตเต็มวัยเกินคาด บังอาจเอื้อมวัดรอยเท้า “มาเฟียต่างชาติ”รุ่นพี่ในอดีตที่เคยยิ่งใหญ่คับเมืองพัทยา แบบทาบมิดปิดทับรอยเท้าเก่า จนเลือนราง…
“โตเร็วเต็มวัยในวันนี้ เพราะมีด้าม”
บนเส้นทางมาเฟียรุ่นแล้วรุ่นเล่า หากไม่มี “ด้าม” และไร้ซึ่ง “ลมใต้ปีก” คอยเติมเชื้อชนวนแรงขับ ขยับชักใยอยู่เบื้องหลัง…
คำว่า “มาเฟีย” คงเหลือแค่คำบอกเล่า กับเรื่องเก่าในตำนาน!
อั๋น พันดาว รายงาน