นายกสมาคมส่งเสริมการเลี้ยงไก่ฯ ชี้ขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ-ค่าไฟ ทำผปก.อ่วม แนะทางรอดรัฐบาลควรยืดหยุ่น พบกันครึ่งทาง

นางฉวีวรรณ คำพา นายกสมาคมส่งเสริมการเลี้ยงไก่แห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ และประธานกรรมการบริหาร บริษัทในเครือฉวีวรรณ ผู้ส่งออกเนื้อไก่รายใหญ่ของไทย ได้ออกมาแสดงความคิดเห็นต่อการประกาศปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำของรัฐบาลที่จะให้มีผลบังคับใช้ในเดือน ต.ค.นี้ว่า ภาวะทางเศรษฐกิจของไทยในขณะนี้ยังไม่เหมาะสมที่จะให้มีการปรับขึ้นอัตราค่าจ้าง เพราะผู้ผลิตยังต้องแบกรับภาระเรื่องต้นทุนทั้งราคาวัตถุดิบต่างๆ ที่พุ่งสูงขึ้น และการไม่สามารถปรับขึ้นราคาขายได้ตามความเป็นจริงจากการถูกควบคุมด้วยกรมการค้าภายใน

นางฉวีวรรณ กล่าวอีกว่าแม้ปัจจุบันการส่งออกสินค้าด้านอาหารของไทย รวมทั้งเนื้อไก่ปรุงสุกกำลังเป็นที่ต้องการในตลาดต่างประเทศก็ตาม แต่ที่ผ่านมาต้นทุนการผลิตสินค้าของไทยเพิ่มสูงขึ้นมากจากการ ระบาดของโรคโควิด-19 ที่ต่อเนื่องยาวนานกว่า 2 ปี ในวันนี้ผู้ประกอบการจึงยังไม่อยู่ในภาวะที่มีพร้อมในการขึ้นค่าแรง แต่หากมองด้วยความเป็นกลาง สถานการณ์ราคาสินค้าอุปโภค-บริโภคที่พุ่งขึ้นทุกอย่างการอยู่รอดของแรงงานก็มีความจำเป็น ดังนั้นทางออกที่ดีที่จะทำให้ทั้งผู้ผลิตและแรงงานอยู่ได้ในสถานการณ์ปัจจุบันก็คือ ผู้ประกอบการจะต้องหากลยุทธต่างๆ เพื่อช่วยเหลือซึ่งกันและกัน

ส่วนธุรกิจในกลุ่มฉวีวรรณ กรุ๊ปนั้น นางฉวีวรรณ กล่าวว่า ได้เลือกกลยุทธเรื่องการให้ค่าโอทีในการทำงานทดแทนการขึ้นค่าจ้างขึ้นต่ำ โดยมีทั้งการให้โอทีแบบรายชั่วโมง และการให้โอทีแบบเหมาจ่ายเพื่อให้แรงงานสามารถผลิตสินค้าได้ทันกับความต้องการของตลาด ซึ่งวิธีนี้ทำให้สามารถประคองตัวไปได้ทั้งผู้จ้างและแรงงาน

“ในครั้งก่อนเราได้ขอเวลาไปยังรัฐบาลแล้วว่าให้ช่วยยืดเวลาเรื่องการประกาศขึ้นค่าแรงขั้นต่ำไปสักระยะ แต่ตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้พบว่าราคาสินค้าต่างๆ ได้พากันปรับขึ้นไปหมดแล้วและความเห็นส่วนตัวก็มีความเห็นใจผู้บริโภค แต่สุดท้ายหากผู้ประกอบการแบกรับภาระไม่ได้ ก็ต้องเลิกกิจการ ส่วนผู้ใช้ก็อาจต้องตกงานเพราะฉะนั้นจะต้องมาเจอกันที่ครึ่งทางก่อน ” นางฉวีวรรณ กล่าว และว่าแม้ปัจจัยบวกเรื่องค่าเงินบาทที่อ่อนตัวลง จะทำให้ผู้ส่งออกโดยเฉพะสินค้าประเภทอาหารที่มีปริมาณการส่งออกมากขึ้น แต่ผู้ผลิตเองก็ต้องมีความพร้อมเรื่องระบบความปลอดภัยของอาหาร โดยเฉพาะสินค้าประเภทเกษตร ปศุสัตว์ที่ต้องอยู่ในการดูแลของกรมปศุสัตว์ และกรมปศุสัตว์ จะต้องให้การช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ส่งสินค้าไปต่างประเทศแล้วเกิดปัญหาให้สามารถส่งสินค้าเข้าไปได้ ไม่ใช้การออกคำสั่งให้ผู้ผลิตของไทยหยุดการส่งออก โดยไม่คำนึงถึงผลกระทบต่อระบบการผลิตและแรงงาน

นายกสมาคมส่งเสริมการเลี้ยงไก่แห่งประเทศไทย ย้ำด้วยว่าในสภาวะเช่นนี้ทั้งภาคเอกชนและภาครัฐต้องช่วยกันว่าจะทำอย่างไรให้การส่งออกเป็นไปด้วยความสะดวก เพราะผู้ประกอบการต้องเลี้ยงแรงงานเป็นจำนวนมาก เช่นเดียวกับค่าไฟที่พุ่งสูงขึ้น ทำให้ในวันนี้กลุ่มฉวีวรรณ ต้องจ่ายค่าไฟประมาณ 20-30 ล้านบาทต่อเดือน เพราะธุรกิจเกษตรปศุสัตว์ ต้องใช้ไฟจำนวนมาก และในฐานะนายกสมาคมส่งเสริมการเลี้ยงไก่แห่งประเทศไทยฯ ได้พยายามพูดคุยเพื่อให้รัฐบาลและการไฟฟ้าฯ มีความยืดหยุ่นในเรื่องของการเก็บค่าไฟให้กับผู้ประกอบการ ไม่ใช่การยื่นคำขาดว่าจะตัดไฟเพียงอย่างเดียวโดยไม่คำนึงถึงความเสียหายของธุรกิจเกษตรปศุสัตว์ว่าต้องใช้กระแสไฟในการสร้างความเย็นให้กับสัตว์ เพราะเมื่อถูกตัดไฟแล้วจะเกิดความเสียหายมากเพียงใด

“สิ่งที่ผู้ประกอบการอยากฝากไปถึงรัฐบาลก็คือเรื่องค่าไฟที่ในขณะนี้ยังไม่ควรปรับขึ้นเพื่อช่วยเหลือทั้งประชาชนและผู้ประกอบการ โดยขอให้ยืดระยะเวลาออกไปอีกสักระยะ โดยเฉพาะเรื่องของการเก็บหนี้กับผู้ใช้ไฟที่น่าจะมีการเอื้ออำนวยให้กับประชาชนและภาคการผลิตเพื่อการส่งออกที่ต้องเจออุปสรรครอบด้านอยู่แล้ว ” นายกสมาคมส่งเสริมการเลี้ยงไก่แห่งประเทศไทยฯ กล่าว

นางฉวีวรรณ ยังกล่าวอีกว่าแม้คนไทยทั้งประเทศจะรู้อยู่แล้วว่าขณะนี้รัฐบาลเองก็อยู่ในสถานะที่ยากลำบาก แต่เมื่อคณะรัฐบาลยังมีหน้าที่ในการบริหารประเทศอยู่ก็อยากจะขอให้ใช้สติปัญญาและความสามารถในการช่วยเหลือประชาชนและผู้ประกอบการที่ก่อนหน้านี้ได้พยายามช่วยตัวเองอย่างสุดความสามารถแล้ว ให้สามารถประคองตัวต่อไปได้

“สิ่งที่อยากฝากถึงประชาชนคนไทยก็คือ การเลือกตั้งครั้งหน้าคือความหวังในการแก้ไขปัญหาต่างๆ ของประเทศ จึงขอให้ประชาชนเลือกคนที่มีวิสัย์ทัศน์และความสามารถในการทำงานมากกว่าการเลือกคนที่รักโดยไม่พิจารณาจากผลงาน ไม่เช่นนั้นประเทศชาติจะไม่สามารถอยู่รอดได้ และจะไม่เป็นไปตามความต้องการของประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ” นางฉวีวรรณ กล่าว