เรื้อรัง.. แต่แก้ไม่ได้! ปัญหามาเฟียรถเช่าชายหาดพัทยา ยึดถนนสาธารณะ ทำนักท่องเที่ยวเดือดร้อน
เรื้อรังนานนับสิบปี..หลายยุค หลายรูปแบบปกครอง แต่แก้ไม่ได้ “ปัญหารถจักรยานยนต์เช่า” ยึดถนนสาธารณะทำนักท่องเที่ยวไร้ที่จอด ขณะที่ รถสองแถว-แท็กซี่พัทยา ต้นตอปัญหาการจราจร ไร้วินัยการขับขี่ ประพฤติตนเหมือนรถรับจ้าง อยากจอดแช่จุดพักรถ-ห้ามจอดตามอำเภอใจ
ตามแม่บทกฎหมายแล้ว เมืองพัทยาถูกตั้งขึ้นมาตั้งแต่ปี 2512 ในฐานะองค์กรปคาองส่วนท้องถิ่นรูปแบบหนึ่งที่เรียกว่า “สุขาภิบาลนาเกลือ” กระทั่งในปี 2521 ด้วยความที่เป็นเมืองท่องเที่ยวชายหาดที่มีชื่อเสียง เป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวต่างชาติ ที่เดินทางมาพักผ่อนกันเป็นแสนเป็นล้านคนต่อปี สร้างรายได้เข้าสู่ประเทศด้านการท่องเที่ยวปีละจำนวนมหาศาล และเพื่อให้เกิดการพัฒนาพื้นที่ที่จะรองรับไปพร้อมๆ กับความเติบโตทางด้านการท่องเที่ยว จึงมีการยกฐานะรูปแบบองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นขึ้นใหม่ให้เป็นรูปแบบพิเศษที่ให้อำนาจท้องถิ่นบริหารจัดการตัวเอง ด้วยสภาเมืองพัทยาและนายกเมืองพัทยา ความพิเศษของเมืองพัทยาคือ ปลัดพัทยาจะถูกว่าจ้างมาเพื่อบริหารเมือง นั่นหมายถึง การใช้มืออาชีพมาบริหาร ไม่ใช่ข้าราชการ และยังสามารถเสนองบประมาณโดยตรงต่อสำนักงบประมาณได้ ซึ่งลอกเลียนแบบมาจากการบริหารการปกครองของท้องถิ่นในประเทศสหรัฐอเมริกาที่เรียกว่า “ผู้จัดการเมือง” หรือ “City Manager” แต่ด้วยความที่ขาดประสบการณ์และความช่ำชอง รวมถึงผลดี-ผลเสียของการบริหารงานในรูปแบบใหม่นี้ สุดท้ายการปกครองในลักษณะนี้ก็ดูจะล้มเหลว กระทั่งกฎหมายได้ถูกปรับปรุงขึ้นใหม่อีกครั้งในปี 2542 ที่ทำให้การเลือกตั้งนายกเมืองพัทยาเป็นการเลือกตั้งโดยตรง ที่จะเข้ามาเป็นประมุขฝ่ายบริหาร พร้อมด้วยรองนายกเมืองพัทยาที่จะมาจากการแต่งตั้งอีก 4 ตำแหน่ง ขณะที่ระบบปลัดเมืองพัทยาก็ถอยกลับไปเป็นแบบที่คล้ายกับเทศบาลทั่วไป นั่นคือมาจากข้าราชการ
ต่อมาหลังมีการรัฐประหารในวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้ออกประกาศเพื่อ “แช่แข็งการเลือกตั้ง” หรือ ประกาศคสช. ที่ 85/2557 ที่กำหนดให้งดการจัดเลือกตั้งท้อง ถิ่น ผู้บริหารท้องถิ่น และสมาชิกสภาท้องถิ่น ในกรณีที่สมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นดำรงตำแหน่งครบวาระหรือพ้นจากตำแหน่ง กระทั่ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะหัวหน้าคสช. ได้ใช้อำนาจตามมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญชั่วคราวฯ 2557 ออกคำสั่งหัวหน้าคสช. ที่ 6/2560 โดยแต่งตั้ง พล.ต.ต.อนันต์ เจริญชาศรี ให้ปฏิบัติหน้าที่นายกเมืองพัทยา ในวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2560 ซึ่งช่วงเวลานี้ถือว่าเมืองพัทยามีความเปลี่ยนแปลงมากมาย โดยเฉพาะกรณีของการจัดระเบียบด้านการท่องเที่ยว ที่ปล่อยเป็นปัญหาเรื้อรังมานานหลายสิบปี ปัญหาหลัก นอกจากจะเปลี่ยนภาพจาก “Sex City” สู่เมืองท่องเที่ยวรูปแบบใหม่ การตั้งพัทยาเป็นเมืองศูนย์กลางของ EEC การพัฒนาระบบโลจิสติกส์ ระบบขนส่ง แล้ว การพัฒนาและรักษาสิ่งแวดล้อม รวมถึงพื้นที่ท่องเที่ยวไว้ก็เป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน
เกริ่นนำกันมาให้เห็นสภาพการเปลี่ยนแปลงในรูปแบบและทิศทางต่างๆ ของเมืองพัทยา ซึ่งหลายคนอาจมองว่า ดีขึ้น เติบโตขึ้น แต่แท้จริงแล้ว ปัญหาขนส่งมวลชนที่ไม่มีประสิทธิภาพและครอบคลุมเพียงพอ แม้ว่าตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาจะมีการเปลี่ยนมือผู้บริหารในหลายมิติ หลายรูปแบบ และในอีกหลายสถานะการปครอง ด้วยเป็นเมืองที่ทำรายได้มหาศาลให้กับประเทศ แต่คงเป็นเรื่องที่น่าแปลกใจว่า…
จนถึงทุกวันนี้ “พัทยา” ยังคงประสบกับปัญหาการจราจรที่ติดขัด เนื่องจากท้องถนนที่มีพื้นที่จำกัด แต่ต่างก็ถูกจับจองด้วยรถยนต์ส่วนบุคคล หรือรถเช่า เพราะนั่นคือการเดินทางที่สะดวกที่สุดเมื่อคุณจะเดินทางจากจุดหนึ่งไปอีกจุดหนึ่งของพัทยา ซึ่งแม้รัฐบาลจะให้ความสำคัญอย่างมาก โดยเน้นย้ำให้มีการกำกับดูแลเรื่องของการรักษาความปลอดภัย และการอำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยวเป็นหลัก โดยเฉพาะในด้านการเดินทาง และการให้บริการรถโดยสารสาธารณะ แต่พบว่าที่ผ่านมาในพื้นที่เมืองพัทยาจะมีปัญหาอย่างต่อเนื่องเกี่ยวกับระเบียบของรถโดยสารเหล่านี้
ทั้งกรณีของรถจักรยานยนต์ให้เช่า ซึ่งยึดครองถนนสาธารณะริมชายหาดพัทยา จนนักท่องเที่ยวไม่สามารถใช้ประโยชน์ได้ รวมถึงรถสหกรณ์สองแถว รถตู้สาธารณะ และรถแท็กซี่ เนื่องจากมีปริมาณของผู้ประกอบการเป็นจำนวนมาก ซึ่งไม่สอดคล้องต่อปริมาณของผู้ใช้ และระบบสาธารณูปโภคที่จะรองรับโดยเฉพาะผิวการจราจร อีกทั้งผู้ประกอบการส่วนใหญ่ยังขาดวินัยในการขับขี่ ทั้งการจอดรถรับส่งผู้โดยสาร การจอดรถในที่ห้ามจอด เป็นต้น ซึ่งถือว่าเป็นการสร้างปัญหาการ จราจรให้กับเมืองพัทยามาอย่างต่อเนื่อง
หลายนโยบาย หลายแนวคิดที่ถูกผุดแนวคิดในเป็นแนวทางเพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น ทั้งการเสนอแนวทางติดตั้งมิเตอร์จัดเก็บค่าจอดรถ การกำหนดพื้นที่จอดสำหรับผู้ประกอบการรถเช่า การกำหนดจุดจอดรถยนต์สาธารณะ ตลอดแนวชายหาดพัทยา รวมไปถึงการใช้อำนาจ คสช.เข้ามากำกับดูแล ซึ่งหากมีการฝ่าฝืนก็จะดำเนินการอย่างเด็ดขาด ส่วนปัญหารถโดยสารสาธารณะของเมืองพัทยานั้น เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นมานาน แต่การแก้ไขก็ยังขาดความชัดเจน แม้ในยุค คสช.จะมีการบังคับให้วิ่งตามเส้นทางสัมปทานได้ระยะหนึ่ง แต่สุดท้ายเมื่อระบบทุกอย่างกลับเข้าสู่ภาวะปกติ ปัญหาก็วนลูปกลับมาเช่นเดิม
ด้วยผู้ประกอบการส่วนใหญ่ ซึ่งมีอยู่กว่า 1,000 คัน ยัง “ขาดวินัยในการขับขี่” เป็นอย่างมาก ทั้งเรื่องของการจอดรับรับส่งผู้โดยสารนอกป้าย การจอดรถซ้อนคัน การจอดรถในจุดห้ามจอด การวิ่งรถนอกเส้นทางสัมปทานอีกทั้งยังมีพฤติกรรมในลักษณะเป็นแท็กซี่รับจ้าง คือ การให้บริการ และเรียกเก็บค่าโดยสารแบบเหมาจ่าย ซึ่งไม่ตรงตามข้อกำหนดของกฎหมาย
ปัญหาเหล่านี้สะสมมานาน และถือเป็นต้นตอสำคัญของการปัญหาจราจรที่ติดขัดอย่างหนักในพื้นที่เมืองพัทยา
ขณะที่ล่าสุดเกิดกรณีข้อพิพาทระหว่างเจ้าของสถานประกอบการร้านอาหารริมชายหาดที่นำพื้นที่หน้าร้านใช้ในการจอดยานพาหนะ และบางส่วนกันไว้สำหรับลูกค้าที่จะเข้ามาใช้บริการ แต่พบว่าเกิดปัญหาการร้องเรียน ด้วยมีการเคลื่อนย้ายรถเหล่านี้ออกไปเพื่อนำรถเช่ามาจอดให้บริการแทนที่ ร้อนถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจผู้มีอำนาจในการบังคับใช้กฎหมายจราจรและเจ้าหน้าที่จากสำนักงานขนส่งที่ได้เข้ามาตรวจสอบถึงความขัดแย้งที่เกิดขึ้น จนสุดท้ายมีการดำเนินคดีกับผู้กระทำผิด พร้อมขอความร่วมมือจากผู้ประกอบการรถเช่าให้สามารถใช้พื้นที่ถนนสาธารณะจอดรถได้คิวละไม่เกิน 3 คัน ซึ่งเป็นไปตามข้อกำหนดในรูปแบบเดิมครั้งอดีต
แต่สุดท้ายหลังเวลาผ่านไปคงจะหาใครมาให้คำตอบที่แน่ชัดไม่ได้ว่า รถที่ใช้พื้นที่เหล่านี้ จริงๆ เป็นรถของใคร ใครมีสิทธิ์ และถนนเหล่านี้ประชาชนทั่วไปควรใช้ประโยชน์ร่วมกันได้หรือไม่?
ด้านนางจำลองลักษณ์ คูณวัตร หัวหน้าสำนักงานขนส่งจังหวัดชลบุรี สาขาอำเภอบางละมุง เปิดเผยว่าสำหรับการแก้ไขปัญหาการใช้พื้นที่ถนนสาธารณะริมชายหาดเมืองพัทยา ที่ว่ามีกลุ่มมาเฟียท้องถิ่นยึดครองไว้ทำประโยชน์ จนประชาชนและนักท่องเที่ยวไม่สามารถใช้งานได้นั้น เรื่องนี้เคยคุยกันมาหลายครั้งแล้ว มีหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงเมืองพัทยาด้วยที่มีอำนาจกำกับดูแลในเรื่องการกำหนดหลักเกณฑ์การให้เช่าของคิวรถที่กำหนดไว้ว่าจะอนุญาตให้บริการได้กี่คัน หรือจอดรถได้คิวละกี่คันบนแนวถนน ส่วนเจ้าหน้าที่ตำรวจคงเป็นเรื่องของการจัดระเบียบ และการบังคับให้เป็นไปตามกฎหมายจราจร หรือ พ.ร.บ.ขนส่งทางบก ขณะที่สำนักงานขนส่ง คงดูแลในเรื่องของอุปกรณ์ส่วนควบของตัวรถว่าถูกต้องครบถ้วนหรือไม่ รวมถึงใบอนุญาตขับขี่ ดังนั้นคงจะต้องหาแม่งานและการประสานงานร่วมกันเพื่อให้เกิดความร่วมมือที่จะเข้ามาแก้ไขปัญหาต่างๆ ไปพร้อมๆ กันด้วย
กับปัญหาที่เกิดขึ้นผ่านช่วงระยะเวลาของความพยายามแก้ไขและจัดการปัญหามาแล้วหลายครั้ง
แต่สุดท้ายหากขาดความร่วมแรง ร่วมใจ ทั้งความร่วมมือของผู้บังคับใช้กฎหมายทุกหน่วยงาน และความร่วมมือจากผู้ประกอบการที่หากยัง “ไร้จิตสำนึก” มองแต่ผลประโยชน์อันน้อยนิดเป็นที่ตั้ง
ปัญหาเหล่านี้ก็จะยังคงฝังรากลึกต่อไปและยังมองหาแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ไม่เห็นเช่นเดิม…
อั๋น พันดาว รายงานพิเศษ