+บทความศาลไคฟง

ศาลไคฟง: “ฝูงบิน กินส่วย”

“ฝูงบิน กินส่วย”

ท่ามกลาง “ห่ากินเมือง” ไวรัสโควิดระบาด ติดต่อเป็นไฟลามทุ่ง จนยุ่งหยอยเป็นฝอยขัดหม้อไปทุกหัวระแหง มาตรการร้อยตำราเล่มเกวียนต่างถูกงัดออกมา ต่อกร ปกป้อง เยียวยา ช่วยเหลือชาวบ้านชาวช่องที่ได้รับผลกระทบ ประคับประคองให้ฟันฝ่าก้าวพ้นวิกฤติไปด้วยกัน

โดยเฉพาะผู้ประกอบการธุรกิจโรงแรม ร้านอาหาร และสถานบันเทิง ดูเหมือนว่ากระอักเลือดหนักหนาสาหัสมากกว่าใครเพื่อน ร้านนวด ร้านเหล้า ผับ บาร์ คาเฟ่ คาราโอเกะที่ผูกยึดผูกโยงกับด้านการท่องเที่ยวที่ต้องอาศัยเม็ดเงินจากกระเป๋านักท่องเที่ยวเข้ามาจุนเจือเป็นหลัก…. ตัวเลขกลับกลายเป็นศูนย์

ต่างพากันปิดตัวลง…. กลายเป็นห้องแถวร้างกลางเมืองพัทยา สถานย่านบันเทิงยามค่ำ ตกอยู่ในสภาพ “คืนหลอน” อย่างที่เห็นๆกันตามสื่อโซเชียลฯ

พอโควิดเริ่มคาย มาตรการ “ลั่นดาล”แน่นหนาก็เริ่ม “ปลดล็อก”ให้ผู้ประกอบการสถานบันเทิงยามค่ำคืนได้โผล่จมูกขึ้นเหนือน้ำ หายใจหายคอต่อชีวิตกันได้บ้าง !!

ไหนจะติดหนี้ติดสินพะรุงพะรัง ไหนจะค่าเช่า ค่าน้ำ ค่าไฟ รวมถึงค่าใช้จ่ายอื่นๆอีกจิปาถะ แต่เจ้าธุรกิจน้อยใหญ่ต่างพากันตะเกียกตะกาย กระเตงลูกน้องอีกนับสิบชีวิต เพื่อต่อท่อออกซิเจนให้พอยันสังขารกันได้!!

กระนั้นยังไม่วาย โดน “ปิศาจ”ในเครื่องแบบ รังควาน!!

เรื่องมันมีอยู่ว่า…. ในยามที่ผู้ประกอบการยังกระเสือกกระสนบนความทุกข์ยากลำบาก ยังมี “แก๊งอสูรสูบ” ใช้อำนาจหน้าที่ออกรีดนาทาเร้นเค้นเอาเลือดจากปู ออก “เดินยอด” เรียกรับ “ส่วย”สถานบันเทิงไปทั่วบ้านทั่วเมือง…

พัทยาเหนือ,กลาง,ใต้ ไม่มีเว้น!!

โดนกันถ้วนหน้า!!

ต่างอิดหนาเอือมระอาใจ ไปตามๆกัน….

ถุย!ชีวิตหนอชีวิต ฉิบหายขายสมบัติเพราะเชื้อร้ายโควิตมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า มันก็เกินจะทนแล้ว ยังจะต้องมาเป็น “แมงเม่า”โดน “ฝูงแร้ง”รุมทึ้งอีก..
(ภาพ2)

ลำพังยุคโควิค กิจการยังโงหัวไม่ขึ้น ไร้คนเที่ยว ค้าขายไม่มีกำรี้กำไร รายได้ชักหน้าไม่ถึงหลัง ทำแค่พอประคับประคอง ไม่ได้เรือล่มปากอ่าว!!

ส่วนที่เล่าขานกันหนาหูว่าหัวหน้า“แก๊งขวย”ที่ออกมาช่วยซ้ำนายนี้…มักจะอ้างตัวเองเป็นนายตำรวจยศ 3 ดาว สังกัดหน่วยสืบฯตำรวจท่องเที่ยว ชื่อเหมือนลูกกลมๆที่ต้องใช้ “ตีนเขี่ย” พฤติกรรมยกโขยงพาลูกสมุนนอกรีต กว่า 10 คน ออกสะดมภ์ตรวจใบประกอบการ ใบอนุญาตขายเหล้าเบียร์-บุหรี่ ใครไม่มี “จับตีเข่า” ทั้งขู่ทั้งปลอบ ถ้ากูไม่พอใจ…กูจับ กูสั่งปิด…!!!

หากอยากไปต่อ ต้องตี “วีซ่าส่วย” จ่าย 3,000 บาทขาดตัว เป็นรายเดือน !!

เท่าที่ดูสารรูปฝูงบินเหลือบ ก๊วน “ขอทานบรรดาศักดิ์” ผู้ประกอบการทุกรายต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า ไม่ใช่ตำรวจท่องเที่ยวสังกัดเมืองพัทยาเป็นแน่แท้ เพราะหากเป็นตำรวจในพื้นที่ย่อมรู้จักมักคุ้นกันดี ถือเป็นมิตรคอยช่วยเหลือในยามยาก อยู่กันอย่างถ้อยทีถ้อยอาศัย ไม่ทำอุบาทว์จัญไรซ้ำเติมจิตใจกัน

งั้น… พ่อเจ้าประคุณรุนช่อง ผุดโผล่ออกมาจากหลุมไหนกระนั้นหรือ? ถึงได้แสดงอำนาจบาตรใหญ่ ฟาดหัว ตวัดหาง เลียปากแผล็บๆราวกับหิวโซหลุดโซ่ตรวนมาจากขุมอเวจี!!

หรือว่าคุณพี่ถูกพิษโควิดเล่นงาน ทำ “อดอยาก ปากห้อย ไส้แห้ง ” ขาดคนเยียวยา มานาน!!

หากจะว่าไป มันใช่ “หน้าเสื่อ-หน้างาน” ของแก๊งที่อ้างตัวเป็นตำรวจท่องเที่ยวหรือไม่? ภารกิจของตำรวจหน่วยนี้ตั้งขึ้นมาเพื่อดูแลด้านความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของบรรดานักท่องเที่ยว เป็นหัวใจหลัก

หรือแค่โพรงกระโหลกกลวงๆหนาๆสักแต่ว่า “กูเป็นตำรวจ” อำนาจในมือล้นฟ้า….จะทำอะไรก็ได้ ตามอำเภอใจ!! ตั้งตัวเป็น “ฝูงบิน กินส่วย”ครองตนเป็นปรปักษ์ต่อเครื่องแบบ ต่อเกียรติยศศักดิ์ศรี อย่างไร้สำนึกอัปยศอดสูเยี่ยงนี้…

ขอเตือนไว้… เบาได้เบา “อย่าหาทำ…”

อั๋น พันดาว